A Fairytale: จนฟ้ารุ่งราง บทที่ 11

Title: A Fairytale
Book III: จนฟ้ารุ่งราง (Another Dawn)
Author: vekin
Rate: PG-13
Warning: คนเขียนอ่อนคำราชาศัพท์เป็นอย่างยิ่ง ต้องขออภัยในความผิดพลาดมา ณ ที่นี้
***บุคคล เหตุการณ์และสถานที่ในเรื่องล้วนสมมติขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องพาดพิงกับบุคคลและเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด***

Chapter 11
####################################################

ตลอดเส้นทางจากห้องบรรทมของพระราชามาถึงห้องสีข่าวนั้นไม่มีวี่แววของเวรยามหรือผู้คน ราวกับว่าพวกเขาหายสาปสูญไปจากปราสาทกันหมดสิ้น จะว่าเป็นเรื่องดีก็คงใช่แต่ยิ่งที่พวกเขายิ่งหายใจไม่ทั่วท้องด้วยรู้สึกว่านี่อาจเป็นกับดักอันใหญ่อีกอันของนาง

“ ปกติพวกเจ้ารักษาความปลอดภัยกันอย่างนี้เหรอ ” เด็กหนุ่มกระซิบถามหลังจากผ่านทางเดินยาวที่ปราศจากเงาของผู้คน พวกเขาอยู่ใกล้ห้องบรรทมมากแล้วกลับไม่พบใครที่พอเรียกได้ว่าเป็นทหารยามเลย

” นางอาจจะไม่อยู่ที่ห้องบรรทม ” เจ้าชายตอบ ความกังวลและสับสนชัดเจนอยู่บนใบหน้าของเขา “ แต่ถ้าพระราชาอยู่ที่นี่ “

“ คีธไม่โกหกหรอก “

ความมั่นใจในน้ำเสียงของหัวหน้าแห่งเหยี่ยวป่าทำให้อาวดริคหันไปยิ้มน้อยๆขณะที่พวกเขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูของห้องสีขาว มือของเขาผลักเปิดบานประตูนั้นขณะที่ตอบว่า “ ข้าไม่ข้องใจเรื่องนั้นหรอก “

แต่อีกครั้งที่ห้องนั้นว่างเปล่าร้างผู้คน หากพระแท่นบรรทมนั้นไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนถูกใช้งาน คลุมพระบรรทมที่ยับย่นไม่ได้ถูกจัดให้เข้าที่แสดงว่าไม่มีข้าราชพารคนใดอยู่ที่นี่ตอนที่พระองค์ออกไป “ เสด็จพ่ออยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ ” เจ้าชายกล่าว สายตานั้นยังคงมองตรงไปยังรอยยับของผืนผ้าปูขณะที่เขาสัมผัสมันเบาๆ ” ไปได้พักหนึ่งแล้วโดยไม่มีข้าราชบริพารคนไหนรู้ แต่ถ้าประชวรหนักอย่างที่ว่ากันแล้วพระองค์เสด็จออกจากห้องนี้ไปได้ยังไง ”

“ เจ้ามั่นใจได้ยังไงว่าไม่มีใครรู้ “ บาร์ธท้วง “ โดยเฉพาะถ้าทรงประชวร “

นั่นหมายความว่าใครคนหนึ่งที่ไม่ข้าราชบริพารพาพระองค์ออกไป แล้วนั่นจะเป็นใครไปได้ ” ยังไงเราก็ต้องตามหาพระราชาให้พบแล้วนำเสด็จสู่ที่ปลอดภัย ” เจ้าชายกล่าว ครั้งนี้ความร้อนใจของพระองค์นั่นชัดเจน “ ข้าว่าเราควรแยกกันออกค้นหา ด้วยพระอาการแบบนั้นพระองค์ไม่น่าจะประทับอยู่ที่ไหนไกล ”

เหยี่ยวป่าทั้งหลายต้องเห็นด้วยในเรื่องนั้นแต่การแยกกันอาจเป็นอันตรายใหญ่หลวงในสถานที่เช่นนี้ ในที่สุดผู้เป็นหัวหน้ากล่าวขึ้น ” เราเหลือเวลาไม่ได้แล้ว รบกวนพวกเจ้าค้นในพระราชฐานชั้นในนี่แล้วกัน ไม่แน่ว่านางอาจซ่อนพระองค์ไว้ในห้องอื่น ข้ากับเจ้าชายจะไปที่พระราชฐานชั้นกลางหาร่องรอยของนาง ระวังอย่าปะทะกับนางเข้าล่ะ ”

ในตอนนั้นแม้อยากจะคัดค้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงรับคำเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่พวกเขายิ่งจะลำบากมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาต้องแยกกันตรงนั้นเพื่อดำเนินแผนการณ์ให้ลุล่วง

เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้วนั่นเองที่เด็กหนุ่มถามขึ้นว่า “ มีที่ไหนบ้างที่นางอาจพาพ่อของเจ้าไปถ้าไม่ใช่พระราชฐานชั้นใน ”

คำถามนั้นทำให้เจ้าชายประหลาดใจเล็กน้อย ” ยอดหอคอยเป็นที่หนึ่งที่เป็นไปได้ แต่สภาพพระวรกายคงเป็นไปไม่ได้โดยไม่มีข้าราชบริพารช่วยเหลือ จากตรงนี้ไปก็เป็นพระราชฐานชั้นกลาง ” อาวดริคตอบก่อนจะกระซิบบอกว่า “และนางอาจอยู่ที่นั่น “

“ ไม่ว่าข้ามองยังไงนี่ก็ดูคล้ายกับดัก ” ผู้เป็นหัวหน้าตอบ “ แต่ไม่เข้าทำเสือ ไม่มีทางได้ลูกเสือหรอกจริงมั้ย ”

รอยยิ้มของซาร์คทำให้เจ้าชายยิ้มตาม อันที่จริงมันชัดเจนอยู่แล้วผู้เป็นหัวหน้าเข้าใจถึงความเสี่ยง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ออกปากว่าจะออกค้นหากับเจ้าชาย และคงไม่สั่งการณ์ให้สหายค้นหาเขตพระราชฐานชั้นในที่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าปลอดภัย หากนางไม่อยู่ที่นี่ เป็นไปได้มากว่าพระราชาก็ไม่อยู่ที่นี่เช่นกันในเมื่อนางรู้ดีว่าพระองค์การช่วยเหลือราชาลุดวิกจะเป็นภารกิจส่วนตัวและหมากตาสำคัญที่เจ้าชายต้องเดิน

แต่ในตอนนี้อะไรก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น พวกเขาทำได้เพียงเดินหน้าต่อเท่านั้น หัวหน้าแห่งเหยี่ยวป่าจึงหันมาบอกว่า ” ไปกันเถอะ ” ก่อนจะออกเดินนำไป ท่าทางของเด็กหนุ่มนั้นทำให้อาวดริคอดขำไม่ได้ ให้มาดูตอนนี้คงบอกยากว่าใครกันแน่คือเจ้าชายแห่งไลน์เพราะไม่ว่าเมื่อใดซาร์คก็เหมือนจะพร้อมนำทางพวกเขาไปยังที่ๆไม่มีใครกล้าก้าวเท้าไป และเพราะซาร์คอยู่ที่นี่ เขาจึงรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งเป็นไปได้

พวกเขาไม่มีทั้งความลังเลใจหรือความกลัวขณะที่เดินเข้าไปยังเขตพระราชฐานชั้นกลางที่ทั้งมืดสลัวและเงียบสงัด ที่นี่คือที่ๆกษัตริย์จะรับแขกบ้านแขกเมือง หารือราชการและเสด็จออกท้องพระโรงดังนั้นในเวลาเช่นนี้จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใคร และสิ่งที่แรกที่เจ้าชายสังเกตเห็นคือ…

ผู้เป็นหัวหน้าหันไปกลับมาด้วยความกังวลทันทีที่เห็นชายหนุ่มชะงักเท้า “ อะไรหรืออาวดริค ”

“ กระจก ”

“ หา? ”

“ ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ” เขากระซิบราวกับกลัวว่าภูตพรายทั้งหลายจะได้ยิน ” แต่ที่นี่มีมากเกินไป นางติดกระจกไว้ทั่วพระราชฐานชั้นกลางไปหมด ”

นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่ซาร์คตั้งใจมองไปทั่วทางเดินนั้น และเป็นตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นกระจกบานใหญ่เล็กหลากหลายติดอยู่ตามที่ต่างๆ ที่มันยากจะสังเกตเพราะในความมืดนี้กระจกเหล่านั้นแทบไม่สะท้อนอะไรและบางบานก็ถูกซ่อนไว้กึ่งหนึ่งหลังม่านบังตา จำนวนที่ผิดธรรมดาทำให้เด็กหนุ่มต้องถาม “ นางต้องการมากมายขนาดนี้ไปทำไม หรือมันเกี่ยวกับเวทย์มนต์ ” คำตอบของอาวดริคมีเพียงการกลืนน้ำลายเท่านั้น แต่นั่นเพียงพอแล้วสำหรับซาร์ค” นางใช้เวทย์ผ่านกระจกงั้นหรือ ”

” นางใช้กระจกเป็นสื่อ จะเพื่อควบคุมผู้คนหรืออะไรก็ตามข้าก็พอเข้าใจ แต่ทำไมในปราสาทของนางถึงต้องใช้กระจกมากขนาดนี้ แค่ไม่กี่บานนางก็น่าจะสามารถควบคุมปราสาทนี้ได้แล้ว ”

นั่นแปลกอย่างยิ่ง และสำหรับเด็กหนุ่มนั่นหมายความได้อย่างเดียวว่า “นางไม่มั่นใจว่านางสามารถควบคุมทุกอย่างได้หรือเปล่า ” ชายหนุ่มหันมอง แต่ผู้เป็นหัวหน้าก็ออกเดินนำไปแล้ว “ ถ้าอย่างนั้นเราเป็นต่ออยู่สินะ ”

นั่นอาจเป็นข้อสรุปที่เป็นไปได้แต่กับอาวดริคนั่นยังไม่สมเหตุสมผล ทุกครั้งที่เขาเพ่งมองบานกระจกนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองข้ามบางอย่างไป เป็นไปได้หรือที่นางตกเป็นรองพวกเขาทั้งที่นางมีทหารม้ามีข้าราชบริพารและเวทย์บริวาร มีอะไรที่พวกเขาเหนือกว่านางจนต้องใช้กระจกจำนวนมากกั้นอาณาเขตโดยรอบนี่เลยหรือ

….อาณาเขต….

“ เดี๋ยวก่อนซาร์ค- “

แต่ห้องโถงที่ว่างเปล่าบอกชัดว่ามันสายไปแล้ว

หัวหน้าแห่งเหยี่ยวป่าต้องเหลียวหลังเมื่อเขารู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงเรียกแผ่วๆจากไกลๆ แต่เบื้องหลังเขานั้นกลับไม่มีใคร ไม่มีกระทั่งเจ้าชายอาวดริคที่ยืนห่างจากเขาไปไม่กี่ก้าวก่อนหน้า แต่เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับมาเขากลับมาหนทางเบื้องหน้านั้นกลับมืดสนิท ไม่มีแสงคบสลัวที่เคยเห็นอยู่รำไรหรือแสงจันทร์ที่สะท้านเข้ามาทางกระจกหน้าต่าง ตอนนี้เขาอยู่ในสถานที่อีกที่หนึ่งซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าที่ไหน และจำไม่ได้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เมื่อดวงตาไม่อาจนำทางได้ชัด เด็กหนุ่มจึงเอื้อมมือออกไปเผื่อเขาอาจชนเข้ากับผนังแต่เบื้องหน้าของเขาว่างเปล่า เขาก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ยังไม่พบสิ่งใด เขาจึงก้าวต่อไปอีกก้าว และอีกก้าว จนมือของเขาก็สัมผัสบางสิ่งที่ทั้งแข็ง เรียบและลื่น จนไม่อาจเป็นผนังไปได้

กระจก?

เขาออกเดินด้านข้างเพื่อดูว่ากระจกบานนั้นสิ้นสุดที่ใด แต่กลับไม่มีร่องรอยว่ามันจะหยุดลง จริงอยู่ว่าเขาพบรอยต่อหรือมุม แต่สิ่งที่อยู่ต่อไปนั้นก็ยังเป็นกระจก หากจะมีสิ่งใดที่อยู่ใกล้เขาสิ่งนั้นจะเป็นกระจก เขาไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ใดหรือห้องนั้นกว้างใหญ่เพียงใดเมื่อกระจกพาเขาวนไปมาราวกับอยู่ในเขาวงกต นั่นคือตอนที่เขาลองผลักกระจกเหล่านั้นเผื่อว่ามันจะเลื่อนออก แต่ไม่เลย มันถูกยึดเข้าด้วยกันแข็งแกร่งเสียจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่เป็นไปได้หรือที่สิ่งซึ่งบอบบางปานนั้นจะให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งเพียงนี้ มีลูกเล่นอะไรอยู่เบื้องหลังกระจกพวกนี้กัน

“ มันไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากไปกว่านั้นหรอก ซาร์คาเรีย ”

เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานทำให้เด็กหนุ่มหัน และในความมืดนั้นพลันปรากฏเงารางๆของหญิงสาวที่งดงามสะคราญ รอยยิ้มน้อยฉาบไล้บนพักตราขณะที่นางมองมายังเขาด้วยดวงตาใสกระจ่าง แต่ความไร้เดียงสาและซื่อบริสุทธิ์บนดวงหน้านั้นไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มไขว้เขวไปได้ เขาชักดาบแล้วพุ่งเข้าใส่นางทันที แต่แล้วนางกลับหายไป และตัวเขาพุ่งชนกระจกบานหนึ่งอย่างจัง

“ ข้ายังไม่ทันพูดอะไรเจ้าก็จะฆ่าจะแกงกันแล้วหรือ ” นางกล่าวขึ้นขณะที่ร่างปรากฏอีกที่หนึ่ง แต่ร่างนั้นไม่ได้สมบูรณ์ บางส่วนของตัวนางเหมือนจะเลือนหายหรือบิดเบือนไปเช่นภาพสะท้อนทั้งหลาย ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มตระหนักได้ว่าที่นั่นมีแสงไฟแม้อาจเพียงน้อยนิดแต่ก็มากพอที่จะให้เขาเห็นภาพของนางได้ชัด ใช่ นางเป็นเพียงเงาในกระจก และรอบข้างตัวเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากกระจกซ้อนกันไปมา

เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“ เจ้าเดินเข้ามาเองซาร์คาเรีย ” นางเรียกชื่อเขาอีกครั้ง ชื่อที่เขาไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร ราวกับอ่านใจเขานางตอบว่า ” ข้าคือมเหสีของราชาลุดวิกพระสหายของราชาเอ็ดมันด์บิดาผู้ให้กำเนิดเจ้า ข้าย่อมรู้เรื่องของเจ้า ซาร์คาเรียแห่งเวสต์เวลล์ ” นางกล่าวพร้อมยิ้มน้อยๆราวกับเอ็นดูเขาเหลือเกิน

แต่เด็กหนุ่มไม่ได้หวั่นไหว ไม่กับภาพลวงตาของความงามที่แทบเป็นจริงไปไม่ได้ เขาจึงยืนขึ้นเดินเข้าไปประจันหน้ากับเงาของนาง ” ถ้ารู้เรื่องข้าจริง เจ้าคงฆ่าข้าไปนานแล้ว ” เขากล่าวพลางยิ้มเยาะหยัน ” เหมือนที่เจ้าฆ่าพ่อบุญธรรมของข้า ”

กระนั้นนางก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับทั้งข้อกล่าวหาและความชิงชังที่หัวหน้าแห่งเหยี่ยวป่ามีให้ นางยังคงมองดูเขาราวมารดาที่มองดูบุตรแล้วตอบว่า “ ถ้าเขาไม่ตายจากเจ้าไปในสภาพเช่นนั้น เจ้าจะยืนตรงหน้าข้าอย่างสง่างามเช่นนี้หรือ ”

รอยยิ้มละไมของนางทำให้เด็กหนุ่มนิ่งงันไป แต่เหนืออื่นใดมันคือนัยยะของคำพูดนั้นที่ทำให้ความคิดทั้งมวลของเขาหยุดชะงัก เขาไม่มั่นใจเลยว่าเขาได้ยินสิ่งที่เขาได้ยินไปจริงจนกระทั่งนางกล่าวต่อไปว่า

” หากโจนาธานยังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็คงเป็นเพียงบุตรชายของขุนนางแห่งไลน์ คอยดูแลชาวบ้านในที่ดินของเจ้าเช่นที่พ่อเจ้าทำ เจ้าคงดำรงอยู่และตายไปอยู่ภายใต้อำนาจของราชสำนักเช่นสิงโตที่ถูกขุนด้วยเนื้อวัวเสียจนเชื่อง ” แล้วนางก็เริ่มเดิน ภาพของนางเลื่อนไปจากกระจกบานหนึ่งสู่กระจกอีกบาน ” เจ้าคงไม่ได้รู้ว่าราชสำนักทำสิ่งใดกับประเทศนี้ และเจ้าคงไม่ได้รู้ว่าราชสำนักกระทำสิ่งใดกับประเทศของเจ้า ”

แล้วนางก็หยุดนิ่งที่กระจกซึ่งอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าของเขา ดวงตางดงามคู่นั้นจ้องตรงมาโดยไม่ได้แสดงทั้งความสงสารสังเวชหรือเอื้อเอ็นดู สิ่งที่นางหยิบยื่นให้มีเพียงความเข้าใจขณะที่นางเหมือนจะเข้ามากระซิบว่า “ ข้าก็ไม่ต่างจากเจ้า ซาร์คาเรีย ข้าสูญเสียครอบครัวที่ข้ารักหมดสิ้นเพราะความละโมภของราชสำนัก ข้ามองดูผู้คนของข้าต่อสู้กับความยากแค้นท่ามกลางความอสัตย์และฉ้อฉล ข้าตั้งคำถามเช่นเดียวกับเจ้าว่าทำไมพวกเขาต้องทนทรมานเพื่อราชสำนักที่มีเพียงความโลภและปราศจากความเมตตา ”

แล้วนางก็ออกเดินอีกครั้ง ทันทีที่เขาเหลือบมองนางสายตาของพวกเขาสบนิ่งไม่อาจคลาดจากกัน ราวกับว่าดวงตาของนางมีอำนาจที่สามารถดึงดูดเขาไว้และสะกดเขาให้นิ่งงัน “ ราชสำนักแห่งไลน์ทำลายทั้งกาลัทเทียร์และเวสต์เวลล์เพื่อสนองตัณหาที่ไม่จบสิ้น จนเมื่อทั้งสองอาณาจักรล่มสลายสายตาของมันจะมองไปยังที่อื่นเรื่อยไป สูบและกินได้แม้กระทั่งประชาชนของตนเอง แล้วเหล่าขัตติยะแห่งไลน์ทำอะไรบ้าง พวกเขายังมีความชอบธรรมที่จะเป็นกษัตริย์อยู่อีกหรือ ”

ในความเงียบที่เหมือนจะดูดกินทุกสิ่งนั้น เด็กหนุ่มถามขึ้นว่า ” แล้วเจ้าล่ะทำอะไรอยู่อาร์ดารา หากเจ้าเห็นมองเห็นสิ่งเหล่านั้น ทำไมถึงปล่อยให้มันเป็นเช่นที่มันเป็น ”

นางหยุดเดินแล้วคลี่ยิ้มน้อยก่อนจะตอบว่า ” เพราะข้าทำไม่ใช่หรือ ไลน์จึงอ่อนแอลงถึงเพียงนี้ ”

เลือดในกายของเด็กหนุ่มเย็นวูบไปในทันที

” ราชสำนักแห่งไลน์ไร้ความสามารถจะยึดประเทศนี้เข้าด้วยกันได้แล้ว และตอนนี้คือเวลาของเจ้า ” นางกล่าวขึ้น ” เวลาที่เจ้า ซาร์คาเรีย แห่งเวสต์เวลล์ จะเถลิงบัลลังก์แห่งไลน์ ”

หากไม่เพราะความหนักแน่นในน้ำเสียงและใบหน้าของนาง เขาคงคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกร้ายกาจที่นางใช้ซื้อเวลาให้ตัวเอง แต่นางไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาต่างหากที่อยู่ที่นี่ในกำมือของนาง

และนางเองก็เห็นความตระหนกของเขา นางจึงก้าวถอยจากเขาไปก้าวหนึ่ง ” ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก “ นางกล่าว “ ไม่มีเหตุผลที่เราต้องทำร้ายกันในเมื่อเราต่างต้องการความสงบสันติบนแผ่นดินนี้ และเจ้าคือผู้ที่ทำให้มันเป็นจริงได้ ซาร์คาเรีย หากเจ้าที่เป็นสายเลือดแห่งเวสต์เวลล์ขึ้นครองบัลลังก์แห่งไลน์ย่อมสามารถผนวกดินแดนทั้งสองและหยุดยั้งสงครามนี้ เจ้าสามารถกำจัดขุนนางฉ้อฉลและและผู้นำที่เห็นแต่ตนเอง และเมื่อนั้น เจ้าชายที่รักของข้า เจ้าจะสามารถนำความผาสุขมาสู่ผู้คน ไม่ใช่แค่เมริสมา เจ้าจะนำทั้งไลน์ เวสต์เวลล์ และกาลัทเทียร์สู่ยุคที่เที่ยงธรรมและสันติ จะไม่มีใครต้องเสียสละเพื่อใครอีก ไม่มีใครต้องเป็นอลิซาเบธหรือเดไลลาหรือเหยี่ยวป่าคนอื่นๆที่ต้องสละชีวิต เจ้าจะสามารถสร้างอนาคตที่ทั้งเจ้าและพวกเขาต้องการโดยไม่ต้องใช้เลือดและเนื้อ ”

…เจ้าจะสามารถสร้างอนาคตที่ทั้งเจ้าและพวกเขาต้องการโดยไม่ต้องใช้เลือดและเนื้อ…

โลกที่ความอดอยากจะไม่พรากชีวิตผู้ใด ผู้คนจะไม่ต้องเจ็บป่วยและล้มตายจากการขาดอาหาร ไม่มีศพมากมายในสุสานที่ไม่มีใครฝังได้หมด ไม่มีใครถูกหามเข้าไป เพื่อกลายเป็นอีกร่างที่ไม่มีที่จะไป…

ริมฝีปากของเด็กหนุ่มพลันกระตุกเป็นรอยยิ้ม หากมันกลับดูเหมือนการเยาะหยันขณะที่เขาถามนางว่า “ แล้วมันจะต่างจากที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ยังไงหรือ ”

นางผงะไปชั่วขณะหนึ่ง แต่นั่นนานเกินกว่าที่เขาจะรอได้ “ สิ่งที่เจ้าพูดคือสิ่งที่ใครๆก็ปรารถนา อาร์ดารา ” เด็กหนุ่มกล่าว ” แต่ประเทศที่นำโดยวิสัยทัศน์ของคนเพียงคนเดียว สิ่งที่เจ้าจะได้มีเพียงทรราชที่ทำทุกสิ่งตามที่ตัวเองต้องการ มันก็ไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ ประเทศซึ่งนำโดยราชสำนักที่เห็นเพียงตนเองเท่านั้น ” แล้วเขาก็ยกดาบขึ้นฟาดเข้าหับกระจกที่อยู่ข้างตัวจนแตกละเอียดหากตลอดเวลานั้นเขาไม่ละสายตาจากนาง และไม่ยอมให้นางละสายตาจากเขา ” แผ่นดินนี้อาจจะเล็กเกินไปสำหรับความละโมภของไลน์ แต่มันใหญ่เกินไปสำหรับคนๆเดียว ” เขาทำลายกระจกทิ้งบานแล้วบานเล่า เท้าของเขาย่างไปบนเศษเสี้ยวสีดำนั้นราวกับพวกมันไม่มีตัวตนอยู่ “ เมริสมาคือบ้านของข้า คนของที่นั่นคือครอบครัวของข้า พวกเขาคือเสียงที่นำทางข้า นั่นคือสิ่งที่ข้ารักและเข้าใจ และข้าสู้เพื่อสิ่งนั้น เพื่อรอยยิ้มของคนเหล่านั้น ข้าไม่ต้องการไลน์เพราะข้าไม่มีวันเข้าใจมันเหมือนที่ข้าเข้าใจเมริสมา ข้าไม่อาจนำรอยยิ้มมาให้ประชาชนแห่งไลน์ได้ ”

“ แต่เจ้าจะหยุดเพียงเท่านั้นน่ะหรือ ” นางขัดขึ้น ” เมริสมาที่เล็กกะจ้อยร่อยไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับไลน์ได้- “

“ ไลน์เองก็เล็กกะจ้อยร่อยไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแก่เวสต์เวลล์หรือกาลัทเทียร์หรือประเทศใดๆในทวีปนี้ได้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรอกที่หยุดมันได้ ” อีกครั้งที่เขาฟาดบานกระจกรอบข้างตัวจนแตก ไม่ได้ยี่หระกับเส้นแก้วที่บาดข่วนมือของเขา เขาทำลายเงาของนางครั้งแล้วครั้งเล่า หากทุกครั้งมันก็จะปรากฎบนกระจกบานอื่น เรื่อยไป ” สิ่งที่คนๆหนึ่งจะทำได้คือดูแลครอบครัวของตัวเองและเพื่อนบ้านของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่พ่อข้าสอนข้า ทันทีที่เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้มากกว่านั้น เจ้าก็เพียงแค่ยัดเยียดความคิดของตัวเองให้กับคนอื่นเท่านั้น ”

ตลอดเวลานั้นนางเพียงแต่มองเขาด้วยความเงียบงันขณะที่เขาค่อยๆทลายโลกที่นางสร้างขึ้นทีละบานๆแต่ตลอดเวลานั้นเขาไม่ได้ละสายตาจากนาง ไม่ว่านางอยู่ที่ใด เขาจะตามไปจนนางไม่เหลือกระจกบานใดให้หนีไปได้อีก และสิ่งเดียวที่เหลือจะสะท้อนภาพของนางได้คือดวงตาสีเทาของเด็กหนุ่มซึ่งยืนอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาที่ไม่มีทั้งความกลัว ไม่มีทั้งโกรธเกรี้ยวชิงชัง หากทอประกายราวกับจะเรืองได้ในความมืด

“ อีกอย่างหนึ่ง ” เขาเอ่ยขึ้น ” หากเจ้าคิดว่าโจรอย่างข้ามีความชอบธรรมจะขึ้นครองบัลลังก์ ความเที่ยงธรรมของเจ้ามันก็พิกลพิการแล้ว ”

ในพริบตาก่อนที่นางจะได้พูดอะไรเขาก็ทำลายกระจกบานนั้นและโอกาสใดๆที่นางอาจจะปั่นหัวเขาลง เขาไม่ต้องการจะได้ยินสิ่งอื่นใดจากภาพในกระจกเงาอีกต่อไป เพราะมันก็เป็นได้เพียงมายาเหมือนกับตัวนาง “ ถ้าเจ้ายังอยากจะคุยกับข้าอยู่ละก็ ออกมาเจอข้าด้วยตัวเองดีกว่าอาร์ดารา ” เขากล่าวกับความว่างเปล่านั้นเพราะเขามั่นใจว่านางยังได้ยิน ” แต่ข้าไม่รับปากหรอกนะว่ามันจะจบแบบที่เจ้าต้องการ ”

พระนางเพียงแย้มพระโอษฐ์เมื่อทรงสดับเช่นนั้น พระนางไม่แปลกพระทัยเลยหากจะไม่สามารถโน้มน้ามเขาได้ไม่ว่าด้วยวาจาหรือเวทย์ เขาอาจจะอายุน้อยก็จริง แต่ความเข้มแข็งของจิตใจนั้นมากกว่าแม้แต่แม่ทัพใหญ่ที่พระนางเคยทรงพบมาและความแน่วแน่ต่อเป้าหมายและเส้นทางตรงนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง นั่นทำให้เขาเป็นคนที่รับมือได้ยากหากพระนางกลับไม่ได้กังวลพระทัยมากนัก อาจไม่มีอะไรเลยก็เป็นได้ที่ทำให้พระนางไม่สบายพระทัยในคืนนี้

“ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าชายน้อยแห่งเวสต์เวลล์จะเจริญวัยขึ้นเป็นคนที่น่าสนใจได้ถึงเพียงนี้นะเพคะ ” พระนางตรัสพลางผินจากกระจกบานใหญ่ไปยังพระสวามีผู้ประทับบนบัลลังก์ ร่างที่งองุ้มจ้องตรงมาโดยไม่ได้ขยับ อันที่จริงบนร่างนั้นมีเพียงสายพระเนตรของกษัตริย์ชราเท่านั้นที่อาจกลอกไปมาได้ แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงความตระหนกของพระองค์

กระนั้นพระมเหสีก็เสด็จเข้าหาราวกับว่าไม่เห็นความกลัวนั้น พระนางเสด็จขึ้นมาประทับต่อหน้าพระสวามีพลางลูบพระพักตร์แผ่วเบา ” หม่อมฉันเข้าใจเพคะว่าเขาเป็นสายเลือดของพระสหายที่สำคัญต่อพระองค์เป็นอย่างยิ่ง หม่อมฉันไม่แตะต้องเขาตอนนี้หรอกเพคะ อย่างไรเสียคงอีกพักใหญ่กว่าที่เขาจะออกมาจากเขาวงกตของหม่อมฉันได้ แต่อีกไม่นานพระโอรสก็จะมาที่นี่เพื่อมาพบพระองค์ตามที่พระองค์ปรารถนาแล้วนะเพคะ ” แล้วพระนางก็เสด็จไปยังเบื้องหลังบัลลังก์นั้น พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางลงบนพระอังสาของกษัตริย์ชรา ” หม่อมฉันทำให้มั่นใจแล้วว่าไลน์จะมีชะตากรรมไม่ต่างจากกาลัทเทียร์ น่าเสียดายที่หม่อมฉันไม่อาจให้พระองค์ทอดพระเนตรมันถึงวินาทีสุดท้ายเพราะคำพิพากษาสุดท้ายของพระองค์มาถึงแล้ว ” แล้วพระนางก็ก้มลงกระซิบที่ข้างพระกรรณของพระราชา ” นี่คือคำพิพากษาสำหรับสิ่งที่พระองค์กระทำกับบุตรชายของหม่อมฉัน ”

ฉับพลันนั้นภาพเบื้องหน้าพระองค์ก็เหมือนจะเลือนไป ปราสาทไลน์กลายเป็นกลุ่มอาคารหินแห่งกาลัทเทียร์ รายละเอียดทั้งปวงที่เคยเลือนหายไปในความทรงจำพลันปรากฏชัดราวกับว่าพระองค์ยืนอยู่ที่นั่นอีกครั้ง ทหารหาญที่เป็นพระสหายต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์ตลอดหลายเดือนอันยาวนานต่างร่วมสมรภูมินี้กับพระองค์ พวกเขาแผ้วถางทางก้าวแล้วก้าวเล่าเข้าไปในอาคารอันสูงตระหง่านของวิหารแห่งกาลัทเทียร์ ที่ซึ่งผู้นำของกาลัทเทียร์ซ่อนตัวอยู่หลังจากการโรมรันสงครามเวทย์ที่เหนื่อยอ่อนกับพระนางวิลเฮลมีนา ในเวลาเช่นนี้แม้แต่จอมเวทย์ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดยังไม่อาจป้องกันบ้านของตนเองจากการบุกของทหารกล้าแห่งไลน์ได้

คนแล้วคนเล่าที่พวกเขาฆ่า ร่างแล้วร่างเล่าที่พวกเขาเหยียบย้ำ ในตอนนั้นสิ่งที่พระองค์ต้องการมีเพียงการจับตัวนางผู้เป็นศูนย์กลางของแผ่นดินนี้ หากไลน์ได้ตัวนางนั่นย่อมหมายถึงไลน์ได้กาลัทเทียร์ ไม่มีความสูญเสียใดไม่คุ้มค่าในตอนนี้

เหล่าหญิงรับใช้ต่างจับอาวุธขึ้นต่อสู้ราวตนเองเป็นทหารกล้าคนหนึ่ง หากแรงแขนของอิสตรีที่ใช้เวลาอยู่กับผืนผ้าและหม่อนไหมไม่อาจต้านแรงแขนของชายชาตรีที่มีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้ได้ ต่างฝ่ายต่างปกป้องผู้เป็นนาย ต่างฝ่ายต่างเข่นฆ่า ท้ายที่สุดก็เป็นพวกนางที่พ่ายแพ้แม้นั่นหมายถึงการต้องปลิดชีวิตพวกนางเพื่อนำการต่อสู้นี้มาถึงจุดสิ้นสุด

เสียงกู่ร้องอันเยาว์วัยเรียกพระองค์จากห้วงภวังค์และดาบในพระหัตถ์พลันแกว่งออกในทันใด พระองค์ยังทรงจดจำความแรงต้านจากเนื้อและกระดูกอันเปราะบางของเด็กชายขณะที่ใบดาบตัดผ่านร่างน้อยๆนั้น ดาบในมือของเด็กชายร่วงลงกระแทกพื้นเป็นเสียงอันดังตามด้วยเสียงกรีดร้องที่ทั้งโหยหวนและเศร้าสร้อย เสียงของนาง หญิงที่งามที่สุดที่พระองค์เคยทอดพระเนตรแม้ยามเมื่อใบหน้าของนางนองด้วยน้ำตาและบิดเบี้ยวด้วยความชิงชังขณะที่นางสาปแช่งพวกเขา สาปแช่งพระองค์ แขนที่แทบไร้เรี่ยวแรงตระกองกอดร่างของเด็กชายไว้ขณะที่นางร้องเย้ยให้พระองค์ฆ่านางเช่นที่พระองค์ฆ่าลูกของนาง นางในตอนนั้นไม่ใช่ประมุขแห่งกาลัทเทียร์ ไม่ใช่จอมเวทย์ผู้มีอำนาจอันผู้คนยำเกรง หากเป็นแม่ เป็นหญิงสาว ที่สูญเสียทุกสิ่งที่นางมีไป

ความเศร้านั้นมากมายราวจะกลืนกินพระองค์ กระนั้นพระองค์ก็เพียงให้ทหารกล้าของพระองค์พาตัวนางไป พวกเขาดึงร่างที่ไร้ชีวิตออกจากอ้อมกอดของนางและโยนลงกับพื้นราวกับตุ๊กตาพังๆตัวหนึ่ง มันเป็นภาพที่พระองค์ไม่อาจสลัดภาพนั้นทิ้งไปได้ พระโลมาบนพระวรกายลุกชันขณะที่พระองค์ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ มันคือเสียงของเกราะเหล็กที่กระทบกันยามที่ร่างสูงใหญ่ย่างไปบนสนามรบ

“ หม่อมฉันรอวันนี้มานานแล้ว ” พระสุรเสียงอ่อนหวานตรัสที่ข้างพระกรรณ ” วันที่’เขา’จะมาพิพากษาพระองค์ ให้กับลูกของเรา ”

***
มันเกินกว่าความร้อนใจไปนานแล้วสำหรับเจ้าชายเมื่อเขาค้นหาทุกห้องในบริเวณนั้นแต่ไม่มีที่ใดเลยที่เขาพบร่องรอยแม้แต่น้อยนิดของหัวหน้าแห่งเหยี่ยวป่า หัวใจของเขากำลังเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะอีกแล้วขณะที่เขาวิ่งจากห้องหนึ่งไปยังห้องหนึ่ง ห้องทุกห้องตลอดห้องโถงนั้นเงียบงัน ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว แต่นั่นเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเวทย์มนต์ไม่อาจทำให้คนทั้งคนหายไปได้ ต่อให้เจ้าของเวทย์คือจอมเวทย์ที่ทรงอำนาจที่สุดของกาลัทเทียร์ก็ตาม

ความคิดทั้งดีร้ายทั้งหลายของเจ้าชายกลายเป็นความว่างเปล่าไป เขาหยุดยืนพักอยู่ในเงาของม่านหน้าต่าง ใจหนึ่งเขาอยากจะเอาหัวโขกกับกระจกตรงนั้นเพื่อให้สาแก่ความหัวช้าของตัวเอง ถ้าเขาคิดได้เร็วกว่านี้แม้ซักนิด เขาอาจช่วยซาร์คาเรียไว้ทัน เขาไม่อยากคิดว่านางอาจทำอะไรเมื่อได้ตัวซาร์คไป เขายิ่งไม่อยากคิดเมื่อเขารู้ว่าพวกเขาอาจไม่มีวันหาซาร์คพบอีกเลย

แต่เขาต้องหยุดคิดเรื่องร้ายๆเพียงแค่นั้น เจ้าชายบอกกับตัวเองขณะที่มือลูบศีรษะเพื่อดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา ไม่ว่าซาร์คจะอยู่ที่นี่หรือไม่ ไม่ว่าพระบิดาจะประทับอยู่ที่นี่หรือไม่ เวลาจะไม่รอเขา เขาต้องเดินหน้าต่อไปและทำภารกิจนี้ให้ลุล่วง จะมีใครต้องเสียสละอย่างเสียเปล่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน ขุนนาง เหยี่ยวป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ใช่ซาร์ค

เมื่อใจของเขาเขาสงบลงได้บ้าง ชายหนุ่มจึงเริ่มทบทวนสิ่งต่างๆอีกครั้ง ตอนนี้นางได้ทั้งราชาลุดวิกและหัวหน้าแห่งเหี่ยวป่าไป ในปราสาทเต็มไปด้วยกระจกทั้งที่ซ่อนไว้และแขวนไว้อย่างโจ่งแจ้งจนเขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่านางรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไร แต่นางกลับไม่ทำอะไรเลย นางไม่ปรากฏตัวหรือส่งบริวารมาตามล่าเขา ไม่ใช้เวทย์ผ่านกระจกพวกนั้นมาฆ่าเขาเหมือนที่นางทำกับแม่ของเขา

คำพูดของคลอเดียสผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงอย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาปฏิเสธที่จะเชื่อแต่มันเรียกบางสิ่งในซอกหลืบของความทรงจำออกมา สิ่งซึ่งบอกเขาว่าความจริงสวนทางกับความเชื่อที่เขามีมาตลอดก็เป็นได้

เจ้าชายน้อยไม่ได้เสด็จขึ้นไปยังหอคอยที่นางถูกจองจำเพราะมนต์สะกด นางถูกสะกดพลังอันมหาศาลโดยเหล่าผู้ใช้เวทย์ที่ร่วมกันเตรียมที่คุมขังนั้นให้นาง ในคราแรกเจ้าชายน้อยเสด็จไปที่นั่นเพราะทรงปรารถนาจะพบพระมารดาที่สิ้นพระชนม์ที่ห้องนั้นอีกครั้ง แต่พระองค์กลับพบหญิงจากต่างแดนผู้ถูกตรวนอยู่ที่นั่นราวกับวิญญาณที่ไม่อาจไปสู่สุขคติ นางภูติที่แสนสวยและแสนเศร้า ในครั้งแรกพระองค์หวาดกลัวนางเสียจนต้องหนีออกมา แต่เมื่อพระองค์เล่าเรื่องนี้ให้พระพี่เลี้ยงฟังกลับไม่มีใครเชื่อ บางคนโทษความเศร้าโศกที่เจ้าชายน้อยทรงสูญเสียพระมารดาทำให้พระองค์คิดฝันไปว่ามีคนอยู่ที่นั่น

ความสงสัยใคร่รู้ทำให้พระองค์เสด็จขึ้นไปบนหอคอยนั่นอีกครั้ง และนางยังคงอยู่ที่นั่นเพื่อยืนยันแก่พระองค์ว่าการพบกันนั้นไม่ใช่ความคิดฝัน แต่เพื่อยืนยันเจ้าชายน้อยจึงเดินเข้าไปสัมผัสตัวนาง นั่นอาจเป็นสายใยแรกของชะตากรรมที่ถักทอระหว่างพวกเขา ระหว่างราชินีต่างแดนและเจ้าชายน้อยผู้กำพร้า นางเล่าเรื่องมากมายของดินแดนที่นางเคยอยู่ให้พระองค์ฟัง ดินแดนของทุ่งหญ้าและผาหิน ที่ซึ่งอาชาที่ทรงพลังราวกับปีศาจวิ่งอย่างอิสระ เล่าถึงครอบครัวของนางที่ต้องแตกสลายและความโหดเหี้ยมที่พระบิดาของเจ้าชายน้อยกระทำไว้กับแผ่นดินที่มีชื่อว่ากาลัทเทียร์

เจ้าชายน้อยไม่อาจเข้าใจเรื่องพวกนั้นได้มากนัก แต่พระองค์เข้าใจมากพอจะรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อหน้าพระพักตร์ของพระบิดาผู้อ่อนโยนได้ บางคนว่ามันถึงวัยที่เจ้าชายน้อยจะทรงดื้อดึงต่อพระบิดาแล้ว แต่ในความเป็นจริงมีเพียงความกลัวเท่านั้นที่ทำให้เจ้าชายน้อยทรงถอยห่าง กระนั้นพระบิดาก็ยังคงเป็นพระบิดาที่พระองค์รู้จัก พระบิดาซึ่งพาเจ้าชายน้อยสู่พระแท่นบรรทมแทนพระมารดาที่สิ้นพระชนม์ พระองค์มีเรื่องราวเกี่ยวกับกาลัทเทียร์ในแบบของพระองค์ เรื่องราวซึ่งแม้คล้ายก็ยังต่างจากที่นางเล่าอย่างมากมาย ในเรื่องราวนั้นพระองค์ทรงเสียพระสหายที่สนิทสนมราวกับพี่น้องไปพร้อมกับครอบครัวในการต่อสู้กับกาลัทเทียร์ อาชาปีศาจนั่นเป็นสัตว์สงครามที่แข็งแกร่งและน่ากลัว แต่ไม่เคยมีเรื่องราวของนางในเรื่องเล่าเหล่านั้นเลย

ความแตกต่างที่ชวนฉงนนี้ทำให้พระองค์ทรงถามนางในวันหนึ่ง ซึ่งนางให้คำตอบเพียงว่า ” แต่ละคนมองเห็นเรื่องราวต่างกันไป ความจริงของเจ้าก็ต้องประจักษ์ด้วยตัวเจ้าเองเท่านั้น ”

ด้วยเหตุนั้นเจ้าชายน้อยจึงทรงขอทอดพระเนตรอาชาปีศาจแห่งกาลัทเทียร์ด้วยตัวพระองค์เอง

มันเป็นวันที่พายุตั้งเค้าจนท้องฟ้ายามกลางวันกลายเป็นสีเทามืดครึม ทั้งปราสาทนั้นเงียบงันด้วยว่าพระบิดาทรงนำทัพออกรบกับกองทัพกาลัทเทียร์ที่เหลืออยู่ นอร์ธบีสท์ตัวแรกในไลน์ถูกส่งมายังปราสาทโดบรัมท่ามกลางเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางที่เกรงกลัวอาชาปีศาจเลื่องชื่อ กระนั้นก็ไม่มีใครอาจหยุดเจ้าชายน้อยจากการทอดพระเนตรอสูรตัวนั้นแม้พวกเขาไม่ยินยอมให้พระองค์เสด็จเข้าใกล้ก็ตามที

แต่ไม่มีใครรู้จักพละกำลังที่แท้จริงของนอร์ธบีสท์แห่งกาลัทเทียร์ ความไม่รู้นั้นทำให้สัตว์ร้ายนั้นหลุดจากหลักยึดและออกวิ่งไปมาในลานของปราสาทราวผีร้ายคลุ้มคลั่ง ข้าราชบริพารต่างถอยหนีด้วยความกลัว ท่ามกลางความโกลาหลนั้นเจ้าชายน้อยถูกทิ้งอยู่ริมปราสาทซึ่งทุกคนต่างคิดว่าจะปลอดภัย หากไม่มีที่ใดเลยที่นอร์ธบีสท์ไม่อาจเบิกทางเข้าไปได้ด้วยกำลัง มันหนีการต้อนมาทางพระองค์โดยไม่มีใครเลยที่อยู่ใกล้พอจะช่วยเจ้าชายวัยเจ็ดชันษาได้ พระองค์ทำได้เพียงร้องหาพระบิดาแม้เมื่อไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ตอนนั้นเองที่เสียงพึมพำราวบทเพลงก็ดังขึ้นและสะกดให้ม้าคลั่งหยุดยืนนิ่ง เสียงลมหายใจฟืดฟาดบอกชัดถึงความเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งและพยศแต่ดวงตาสีดำลึกล้ำนั้นมิได้มีแววการยอมจำนน ในชั่วขณะหนึ่งพระองค์รู้สึกราวกับว่าทรงรู้จักสายตาเช่นนั้น

ในตอนนั้นเองที่นางปรากฏตัวขึ้นในเงาของกระจกบานหม่นข้างพระองค์ อำนาจของนางในตอนนั้นน้อยนิดเกินกว่าจะใช้หลบหนีแต่ก็มากพอจะสะกดม้าคลั่งและพูดกับพระองค์ด้วยเสียงที่คล้ายดังอยู่ในโสตของเจ้าชายน้อยราวกับนางยืนอยู่ตรงนั้นจริง “ พ่อของเจ้าไม่มาหรอก ” นางกล่าวราวกำลังตอบรับเสียงร้องขอความช่วยเหลือในความคำนึงของพระองค์ ” และพ่อของเจ้าจะไม่อยู่ข้างเจ้าเสมอไป ซักวันเขาจะจากไปเหมือนแม่ของเจ้า เจ้ามีเพียงตัวเจ้าเองเท่านั้นอาวดริค ”

แล้วเงาของนางก็หายไป ทิ้งเจ้าชายน้อยไว้กับม้าตัวนั้น ดวงตากลมโตสีดำที่ไร้แววนั้นจ้องตรงมาราวกำลังพิจารณาพระองค์อย่างถี่ถ้วน ความคิดคำนึงใดๆของพระองค์เหมือนจะถูกม้าตัวนั้นอ่านได้โดยง่ายแม้เมื่อพระองค์ไม่อาจเข้าใจมัน แต่พระองค์ปรารถนาเหลือเกินที่จะเข้าพระทัย เช่นที่พระองค์ปรารถนาจะเจ้าพระทัยนางและพระบิดา นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในม้าของเจ้าชายอาวดริค แม้เมื่อพระองค์ไม่อาจจดจำเรื่องราวของนอร์ธบีสท์ตัวนั้นได้จนเนิ่นนานให้หลัง

และนั่นอาจดีกว่า เพราะการจดจำเรื่องราวของม้าตัวนั้นหมายถึงการจดจำจุดจบของมันด้วยเช่นกัน นอร์ธบีสท์ท้ายที่สุดก็มากเกินไปสำหรับคนม้าของไลน์ ไม่นานให้หลังเมื่อมันพยศจนมีคนม้าคนหนึ่งถึงตายพวกเขาก็ตัดสินใจกำจัดมันเสีย นั่นเพียงไม่นานก่อนที่อาร์ดาราจะรับข้อเสนอที่จะอภิเษกเป็นราชินีแห่งไลน์ และความทรงจำของเจ้าชายน้อยถูกปิดผนึก

สำหรับนางมันคงเหมือนการถูกทำร้ายเป็นครั้งที่สอง คนที่นางรักคือเจ้าชายน้อยอาวดริคที่อยู่เป็นเพื่อนนางบนหอคอยที่เงียบร้างและหนาวเย็น เด็กชายที่รับฟังความเจ็บปวดคับแค้นของนางอย่างไร้เดียงสาและแสวงหาเพียงความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออำนาจของนางหรือรูปโฉมของนางหรือแม้แต่หัวใจของนาง แต่แทนที่เด็กน้อยคนนั้นซึ่งปรารถนาความสุขให้นางอย่างบริสุทธิ์ใจ คนที่นางได้กลับเป็นเจ้าชายน้อยอาวดริคที่เห็นนางเป็นเพียงแม่เลี้ยงเท่านั้น

ใช่…. คนที่นางแค้นที่สุดไม่ใช่เขา แต่เป็นราชาลุดวิกต่างหาก

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขายิ่งต้องรีบตามหาพระบิดาให้พบ เขาไม่กล้านึกว่านางจะทำเช่นไรต่อไป พระบิดาต้องประทับในที่ปลอดภัยที่ไม่มีกระจกและไม่มีนาง พลันสายตาของเจ้าชายก็เหลือบเห็นช่อกุหลาบในแจกันที่ประดับตกแต่งอยู่ไม่ไกล เขาดึงกุหลาบออกมาดอกหนึ่ง มือที่กำตัวดอกบิดกลีบให้หลุดออกพลางกระซิบเสียงต่ำ พลันกลีบดอกกุหลาบสีแดงคล้ำก็กลายร่างเป็นฝูงผีเสื้อตัวเล็กๆโบยบินออกจากฝ่ามือของเขากระจายหายเข้าไปในเงามืดของปราสาท ชายหนุ่มยังยืนอยู่ที่นั่นครู่ใหญ่ แม้เขาจะไม่เห็นร่องรอยของพระราชาเลยตลอดทางที่ผ่านมา แต่ตาคู่เดียวย่อมไม่อาจสู้หูตานับร้อยที่มองหาพร้อมๆกันได้

ตัวเขาเองก็ไม่ควรอยู่ที่นี่ให้นานเกินไปนัก แม้ว่านางจะไม่ทำอะไรเขาแต่ทหารม้าที่เดินยามผ่านมาคงไม่ได้คิดเช่นนั้นด้วยแน่ เขายังเหลือที่สุดท้ายในท้องพระราชฐานชั้นกลางที่ต้องสำรวจ นั่นคือท้องพระโรงแห่งไลน์ สถานที่อันถือว่าศักด์สิทธ์ที่สุดในปราสาทไลน์และอาจเป็นที่ๆได้รับการอารักขาเข้มแข็งที่สุดเช่นกัน หากเจ้าชายไม่คาดว่าจะพบกองทหารม้ายืนแถวเรียงรายป้องกันประตูทางเข้าไว้แน่นหนาเช่นนั้น สำหรับพระองค์นั่นหมายความได้เพียงว่ามีคนที่สำคัญมากอยู่ที่นั่น ไม่แน่ว่าอาจเป็นพระบิดา หรืออาจเป็นนาง

เมื่อเขาปรากฎตัวที่ทางเดินนั้น ร่างที่สงบนิ่งราวตุ๊กตานับสิบพลันหันมาทางเขา นัยน์ตาที่เหลือความเป็นมนุษย์เพียงน้อยนิดจับจ้องอยู่ที่เขาเป็นตาเดียวจนเจ้าชายอดรู้สึกไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นเพียงตุ๊กตาไปแล้วจริงๆ ตุ๊กตาที่เพียงจะขยับตามเส้นใยที่ชักมันไปเท่านั้น เขาอดสงสัยไม่ได้ว่านางมีพลังเวทย์มากมายขนาดไหนกันเพื่อควบคุมผู้คนพวกนี้และใช้กระจกนับร้อยต่างหูตา จะมีทหารม้าและผู้คนอีกมากขนาดไหนที่อยู่ใต้เวทย์ของนางโดยไม่รู้ตัว มีกับดักเวทย์จำนวนเท่าไหร่ที่นางวางไว้ในปราสาทหลังนี้

แต่นั่นย่อมหมายความว่านางต้องใช้พลังมหาศาลดูแลสิ่งซึ่งกระจัดกระจายอยู่ไกลตัวนาง นั่นทำให้เขานึกขำขึ้นมาเพราะดูเหมือนซาร์คาเรียอาจจะพูดถูกเรื่องที่ว่าพวกเขาเป็นต่ออยู่ก็เป็นได้

เขาชักดาบออกแล้วสาวเท้าหาทหารม้าเหล่านั้นในทันที ฝ่ายนั้นชักดาบของตนออกบ้างแต่ไม่ทันจะยับยั้ง เจ้าชายมิให้ร่ายคาถาลงบนดาบก่อนจะพุ่งเข้าไปฟาดร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด ร่างที่ดาบของเขาสัมผัสร่วงล้มไร้สุ้มเสียงรวดเร็วจนคนธรรมดาที่ไหนก็ต้องประหลาดใจ แต่กลับไม่มีความแปลกใจใดๆบนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาเพียงตรงเข้ามาหวังหยุดเจ้าชายเพียงเพื่อจะร่วงลงกองหมดสติอยู่กับพื้น แต่กับทุกดาบที่ลงไปนั้นอาวดริคก็หายใจยากขึ้นทุกที ความอ่อนล้าจากทั้งการต่อสู้ ความอ่อนล้าจากการใช้เวทย์กำลังส่งผลต่อร่างกายของเจ้าชายอย่างชัดเจน

แต่เขาจะยังไม่หยุดตอนนี้ต่อให้ขานั้นสั่นหรือแขนนั้นแทบจะยกดาบขึ้นไม่ไหวเขาก็จะยังไปต่อไป ต่อไปและต่อไป จนทหารม้าทั้งหมดนั้นหมดสติอยู่บนพื้นและบานประตูของท้องพระโรงอยู่ตรงหน้า เจ้าชายไม่หยุดพักหายใจเลยขณะที่ผลักประตูให้เปิดออกและก้าวเข้าไป

เขาเตรียมใจแล้วว่าเขาอาจจะเจอห้องที่ว่างเปล่าอีกห้อง หรือกับดักเวทย์ขนาดใหญ่ หรือกองทัพอสูรของนางที่รออยู่ภายใน มีสิ่งที่เขาคิดไว้เป็นร้อยเป็นพัน ทุกความเป็นไปได้ยกเว้นสิ่งที่เขาเห็นอยู่นี้

“ เสด็จพ่อ!!! “

ในท้องพระโรงที่ว่างเปล่านั้นมีเพียงร่างหนึ่งที่นอนคว่ำอยู่หน้าบัลลังก์ แต่ต่อให้ร่างนั้นเปลี่ยนเป็นร่างของชายชราผมขาวโพลนเจ้าชายก็ยังจดจำพระบิดาได้ เขารีบวิ่งไปยังร่างเล็กๆผอมแห้งนั้นด้วยหัวในที่เต้นอย่างเจ็บปวดกับภาพของชายชราตรงหน้า แต่เหนืออื่นใดมันคือความเศร้าใจที่ต้องเห็นพระบิดา ราชาลุดวิกผู้จับดาบสู้รบในทุกที่ด้วยพระองค์เองเสมอมาขดร่างคุดคู้ราวกับทารกในครรภ์และสั่นด้วยความกลัว

“ เสด็จพ่อ ” เจ้าชายเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อเข้ามานั่งอยู่ข้างร่างงองุ้มนั้น กษัตริย์ชราบ่นพึมพำปนสะอื้นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์และเหมือนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีคนอื่นอยู่ที่ตรงนั้นด้วย ” ท่านพ่อ นี่ลูกเอง อาวดริคไงพะยะคะ ” เจ้าชายกล่าวอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปเพื่อสัมผัสตัวบิดา

” อย่าแตะต้องเขา อาวดริค ” เสียงที่ดังจากบัลลังก์ทำให้เขาต้องชะงักและนั่นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระราชินีผู้เลอโฉมและเยือกเย็นซึ่งประทับนั่งบนบัลลังก์นั้นแทนพระสวามีที่เห็นได้ชัดว่าไม่เหลือสติใดๆอีกแล้ว ” จะเรียกเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้ยินเจ้าอีกแล้ว สิ่งที่เขารับรู้มีเพียงความหวาดกลัวเท่านั้น ”

“ เจ้าทำอะไรเขา ” เจ้าชายขู่คำรามแต่สิ่งที่ตอบรับมีเพียงความแปลกใจและพึงใจบนพระพักตร์ขององค์ราชินี

“ บางสิ่งที่คล้ายเวทย์คืนความทรงจำ ” พระนางตรัส ” ข้าเพียงแค่กระตุ้นให้เขาระลึกถึงเรื่องราวทีเกิดขึ้นในช่วงสงครามกาลัทเทียร์ก็เท่านั้น ให้ความทรงจำในตอนนั้นชัดเจนราวกับเกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง แต่รายละเอียดของความทรงจำที่ถูกกระตุ้นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นแล้วส่วนที่เหลือก็แล้วแต่จินตนาการของคนผู้นั้นจะเสริมแต่งเอง ”

เวทย์หลอนประสาทดีๆนี่เอง

“ ท่านพ่อ!! ” ครั้งนี้เขาดึงร่างของผู้เป็นพ่อขึ้นจากพื้นโดยไม่มีรีรอ ” ท่านพ่อ อาวดริคเองพะยะคะ มองหน้าลูกสิพะยะคะ ”

เจ้าชายค่อยใจชื้นขึ้นเมื่อพระเศียรที่คลอนไปมาเงยขึ้นสบสายตากับเขา แต่ก็แค่ชั่วครู่เท่านั้นก่อนพระพักตร์จะแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวด้วยสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าความสยดสยองหวาดกลัว ร่างที่เหมือนจะไร้เรี่ยวแรงเมื่อก่อนหน้าพลันสะบัดหนีจนแม้แต่เจ้าชายก็ยังกระเด็น ดาบที่เขาเคยเอาไว้ข้างกายกลับถูกคว้าไปและหันใส่ตัวเขาเอง “ อย่าเข้ามาใกล้ข้า ” พระราชาเฒ่าตรัสเสียงสั่น สายพระเนตรที่ทอดตรงไปยังพระโอรสเต็มไปด้วยความชิงชัง หวาดกลัว และขลาดเขลา ” เจ้าตายไปแล้วพร้อมกับกองทัพกาลัทเทียร์ ไม่มีใครรอดจาดที่นั่น คนของข้ายืนยันได้ ”

เจ้าชายไม่เข้าใจนักว่าพระบิดากำลังตรัสถึงสิ่งใดหากมันชัดเจนว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นเขาเป็นพระโอรสหากเป็นคนอื่น ผลจากเวทย์หลอนประสาทของนาง ” เสด็จพ่อ… ” เขาลุกขึ้นช้าๆแล้วก้าวเข้าหาก้าวหนึ่งอย่างระวังเพื่อไม่ทำให้พระบิดาทรงตกพระทัย แต่ปลายดาบที่พุ่งมาทำให้เขาต้องถอยหลังไปสามก้าว พระพักตร์ของพระบิดาที่เจ้าชายได้เห็นนั้นบิดเบี้ยวด้วยรอยยับย่น

“ แล้ว….แล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ” พระองค์ตรัสเสียงสั่นเครือ ” การิน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ”

การิน….ชื่อนั้นคุ้นหูเจ้าชายยิ่งนัก แต่เขาไม่อาจนึกให้ออกในทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แล้วกองทัพกาลัทเทียร์…

“ การินคือชื่อของจอมทัพแห่งกาลัทเทียร์ที่นำทัพลงใต้ ทำลายเวสต์เวลล์จนราบเป็นหน้ากลอง ก่อนจะถูกกองทัพไลน์บดขยี้จนไม่มีผู้ใดรอด ” เป็นอาร์ดาราที่เอ่ยตอบความข้องใจของเขา ” เขาเป็นเด็กกำพร้าที่โตขึ้นในเงาของวิหารแห่งกาลัทเทียร์ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถต้านทานเวทย์มนต์ เป็นพ่อที่ทุ่มเทให้กับลูกชาย และเป็นสามีที่รักยิ่งของข้า ” เจ้าชายเหลือบสายตาไปยังนางผู้เลอโฉมบนบัลลังก์ในทันที และนางตอบรับสายตาแห่งความแปลกใจนั้นด้วยรอยยิ้มที่งามเลิศกว่าผู้ใดในปฐพี “ ตอนเขาเป็นเด็กชายวัยรุ่น เขามีเส้นผมดำยาวเกือบประบ่า คล้ายกับเจ้าตอนนี้มากทีเดียว ”

ไม่ทันขาดคำอาวดริคก็ต้องถอยหลบใบดาบที่เหวี่ยงมาอีกครั้ง ทั้งที่พระวรกายนั้นซูบซีดผอมโทรม แต่ราชาลุดวิกกลับยังสามารถกวัดแกว่งดาบได้ไม่ต่างจากเมื่อทรงพระพลานามัยแข็งแรง เพียงแต่ครั้งนี้มันเหวี่ยงหาพระโอรสที่พระองค์เข้าพระทัยว่าคือจอมทัพของกาลัทเทียร์ คู่แค้นที่พระองค์ไม่เคยได้ทอดพระเนตรร่างไร้วิญญาณให้แล้วแก่พระทัย เขาคืออสูรที่พระองค์กำจัดไปจากห้วงดำริมิได้มาร่วมสิบเจ็ดปี

แต่เจ้าชายยังคงไม่ละความพยายาม เขายังคงรักษาความเยือกเย็นขณะที่เรียกออกไป “ เสด็จพ่อพะยะคะ การินไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาเข้ามาในปราสาทไม่ได้ เขาตายไปแล้ว- ”

“ ครั้งนี้ข้าจะฝังเจ้าด้วยมือข้าเองนี่แหละ!!! ”

ครั้งนี้แทนที่เจ้าชายจะถอยออกไป เขากลับปลดฝักดาบออกปัดดาบของพระราชาจนหลุดจากพระหัตถ์แล้วเข้าประชิดตัวพระองค์ มือทั้งสองจับพระพักตร์ของกษัตริย์ชราให้มองมาขณะที่เวทย์ถูกร่ายอย่างรวดเร็วเพื่อเรียกสติของราชาลุดวิกกลับมา กระนั้นก็ยังช้าเกินกว่าใบมีดเย็นยะเยียบที่แทงเข้ามาที่ท้องจนมิดเล่ม

กระนั้นเขาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นสะกดกลั้นความเจ็บปวดเพื่อร่ายเวทย์ให้เสร็จสิ้น จนสายพระเนตรที่ทอดตรงมาสบสายตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อตระหนักได้ว่าบุคคลตรงหน้าไม่ใช่การิน ราชาเฒ่าก้าวถอยออกไป มีดที่อาบด้วยเลือดอุ่นๆจนแดงฉานยังคงกำแน่นอยู่ในพระหัตถ์ที่พระองค์ก้มลงทอดพระเนตรราวกับว่ามันไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ ความเป็นจริงที่ประดังประเดกลับมาอย่างกะทันหันนั้นทำให้พระวรกายของพระราชาลุดวิกสั่นสะท้าน พระองค์ทรุดนั่งลงกับพื้นเมื่อพระเพลาหมดกำลังไป สิ่งเดียวที่พระองค์ตรัสได้ในตอนนั้นคือ

“ …อาวดริค… “

พระโอรสยิ้มรับน้อยๆก่อนที่จะทรุดลงตรงหน้าพระบิดา เลือดที่ไหลอาบลงไปตามขาอาบเปื้อนรองเท้าและนองบนพื้นของท้องพระโรง เลือดของรัชทายาทแห่งไลน์ หลั่งรินอาบท้องพระโรงแห่งไลน์ ด้วยพระหัตถ์ของกษัตริย์แห่งไลน์ ความอ่อนแรงจากทั้งการต่อสู้ ทั้งการใช้เวทย์ และจากเลือดที่กำลังเหือดไปจากกายทำให้เจ้าชายหมดสิ้นเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะนั่งอยู่อีกต่อไป หากตลอดเวลานั้นเขาคอยมองบิดา ขณะที่มีดร่วงลงจากพระหัตถ์และร่างอันงดงามขององค์ราชินีทรุดลงนั่งข้างพระสวามี

” ลุดวิก ” นางกล่าวขึ้นเพียงแผ่วเบา ” ท่านทำอะไรลงไป ”

เพียงถ้อยความสั้นอันไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่มันทุบลงไปที่พระทัยที่อ่อนล้าของกษัตริย์ชราจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ

“ ท่านฆ่าลูกชายข้า ” นางกล่าวต่อไปช้าๆ ” ท่านฆ่าราชาเอ็ดมันด์ที่เป็นสหายที่ไว้ใจในตัวท่าน ท่านฆ่าวิลเฮลมีนาที่เป็นราชินีและแม่ของลูกของท่าน และตอนนี้ …” นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยและหดหู่จะกระซิบขึ้นว่า ” ท่านฆ่าลูกชายของตัวเองด้วยอย่างนั้นหรือ ”

คำถามนั้นเหมือนเหล็กร้อนที่จี้เข้าที่พระทัยราชาเฒ่าแม้เมื่อร่างของพระองค์ยังคงอยู่นิ่ง ทอดพระเนตรไปยังพระโอรสที่ทอดร่างอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ในกองเลือดของตนเอง พระหัตถ์ของพระองค์แดงฉานด้วยเลือดนั้น กลิ่นคาวอันคละคลุ้งต้องพระนาสิกจนแทบทำให้พระองค์อาเจียน พระองค์ฆ่าฟันผู้คนมาเท่าไหร่ พระหัตถ์ของพระองค์อาบไว้ด้วยสีอันน่าสะพรึงนี้มากี่ครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดที่มันทำให้พระองค์เจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้

ตอนนั้นเองที่พระนางเข้าประคองพระหัตถ์ของพระองค์ไว้ ราชาลุดวิกทรงหันไปยังพระมเหสีและวอนขอความช่วยเหลือใดๆที่พระนางอาจมีแม้ไม่ใช่ด้วยคำพูด เพราะพระองค์ไม่ต้องการความเจ็บปวดนี้ ไม่ต้องการสูญเสียพระโอรสไป พระองค์ต้องการออกซึ่งพระนางตอบรับด้วยการวางมีดอาบเลือดที่หนักอึ้งนั้นลงในพระหัตถ์ สัมผัสของมันในตอนนี้หนักอึ้งยิ่งกว่าสิ่งใด และสั่นไหวน้อยๆเป็นจังหวะ จนพระองค์รู้สึกราวกับว่ามันคือหัวใจ หัวใจที่กำลังพ่ายแพ้แก่ความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา

หัวใจของอาวดริค

หัวใจนั้นยงคงเต้นอยู่ในพระหัตถ์ขณะที่ดวงตาของเจ้าชายลืมขึ้นมองมา ความแจ่มใสหมองมัวและพร่าเลือนขณะที่มือนั้นเอื้อมมือออกมา มือสีแดงฉาน

…ทำไม….

นั่นคือคำถามที่สะท้อนก้องในห้วงดำริของราชาลุดวิกราวมาจากพระโอษฐ์ของพระโอรส

…ทำไม…

“ อาาา… “ เป็นคำเดียวที่พระองค์อาจตรัสออกมาได้ ขณะที่พระหัตถ์เหี่ยวย่นและสั่นเทานั้นยกมีดเล่มนั้นขึ้น แต่ปลายอาวุธอันร้ายกาจนั้นควรหันไปที่ใด ที่พระโอรสที่กลับกลายเป็นปีศาจร้ายอย่างนั้นหรือ ไม่ พระองค์ไม่อาจทำเช่นนั้นกับอาวดริค ไม่ใช่กับอาวดริค กระนั้นพระองค์คือคนที่สร้างฝันร้ายนี้ขึ้น พระองค์สังหารพระโอรสของพระองค์เอง ที่ๆปลายมีดควรนาบลงคือพระศอของพระองค์

แต่ก็แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นก่อนที่พระองค์ตวัดมันไปยังลำคอเรียวระหงของนางผู้เลอโฉมที่นั่งอยู่ข้างพระองค์ พระมเหสีที่พระองค์ทรงรัก นางแก้วที่อยู่เคียงบัลลังก์ของพระองค์มาสิบเจ็ดปี การทรยศนี้ช่างเจ็บปวดเสียจนพระองค์แทบไม่อาจมองนาง แต่ดวงตาของนางยังคงจ้องตรงมาโดยปราศจากความรู้สึกใดๆแม้เมื่อบนพระพักตร์ของพระองค์เปื้อนด้วยน้ำตาและระบายด้วยความเศร้าโศก โกรธเกลียด ชิงชัง และรัก

“ ทำไมเจ้าต้องทำถึงเพียงนี้ ” พระองค์ตรัสเพียงแผ่วเบาเจือด้วยเสียงสะอื้น ” แม้แต่กับอาวดริค ”

นางตอบว่า ” พระองค์พรากเขาไปจากหม่อมฉันเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ลืมไปแล้วหรือเพคะ ” นางตอบ ตลอดเวลานั้นสายตาของนางไม่ได้ละจากราชาลุดวิก ไม่กระทั่งกะพริบตา ไม่มีทั้งความสงสารหรือความเสียใจ เพียงแค่ดื่มกินความปวดร้าวของลุดวิกลงไปราวสุรารสโอชา ไม่ว่านางจะงดงามถึงเพียงไหน หัวใจของนางก็มืดดำ ไม่ว่าบนใบหน้าของนางมีความรักกรุณาเพียงใด หัวใจของนางก็มีเพียงความชิงชัง อาร์ดาราที่พระองค์รักและรักพระองค์นั้นเป็นเพียงมายาที่ไม่เคยมีอยู่เลยตลอดวันเวลาที่ผ่านมา

พระองค์ช่างโง่เขลา ช่างโง่เขลานัก

พระหัตถ์อ่อนล้าของราชาเฒ่าพลันเงื้อมีดเล่มนั้นขึ้นหมายปักเข้าไปที่หัวใจดำมืดของนาง

“ อย่า! “

เสียงนั้นไม่ได้ดังกัมปนาท อาจเรียกได้ว่าเป็นเสียงกระซิบ แต่มันกลับทรงพลังพอที่จะหยุดราชาลุดวิก และทำให้พระองค์ต้องผินพระพักตร์ไปยังต้นเสียง ยังเจ้าชายที่กำลังพยายามยันร่างขึ้นและขยับเข้าหาพระองค์ แขนทั้งยังพอมีแรงลากร่างที่กำลังหมดความรู้สึกเข้ามาและระบายพื้นนั้นด้วยเลือดที่ยังคงไหลไม่ขาดสาย

“ …พอแล้ว… “ เขากระซิบแต่อีกครั้งที่มันเหมือนถูกสะท้อนก้องไปทั้งท้องพระโรง ” …ไม่มีอะไร….ต้องทำร้ายกัน…พอเถอะ… “

มือที่เปื้อนเลือดสัมผัสที่ข้อพระบาทของราชาเฒ่าราวกับผีร้ายที่คืบคลานขึ้นจากหลุม หากบนใบหน้าซีดเซียวนั้นมีเพียงรอยยิ้ม ไม่มีแววแห่งการตำหนิกล่าวโทษ เป็นรอยยิ้มเดียวกับที่คนเป็นพ่อเคยได้รับจากลูกชายตัวน้อย ลูกชายวัยเจ็ดปีที่พระองค์พาไปให้ปิดผนึกความทรงจำ ความทรงจำนั้นทำให้พระอัสสุชลไหลลง พร้อมๆกับมีดที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น ครั้งนี้เป็นราชาลุดวิกที่เข้าตระกองกอดพระโอรสไว้

รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าชายไม่ได้หายไปเลยขณะที่เขาหันไปยังอาร์ดารา ไม่มีแววของการเยาะเย้ยหรือถากถางขณะที่เขาพยายามขยับเข้าไปหาเพียงเพื่อจะร่วงลงสู่พื้นเบื้องหน้านาง มือที่เปื้อนเลือดเกาะกุมมือของนางไว้ แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่เรี่ยวแรงทั้งหมดจะหายไป เขามาถึงขีดสุดแล้ว แรงที่เหลืออยู่เพียงหยาดสุดท้ายก็ใช้เพื่อหยุดยั้งหายนะที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว เขาไม่มีอะไรอีกแล้วที่ต้องทำ…. อาจจะยกเว้นสิ่งที่สุดท้ายที่เขาอยากจะบอกนาง

“ ….อย่าโศกเศร้าอีกเลย… “

มันเป็นคำขออธิษฐานสุดท้ายที่เขามอบให้แก่นาง มันยังคงเป็นคำอธิษฐานที่เขาเคยให้เมื่อพวกเขาพบกันเมื่อเนิ่นนาน นานจนพระองค์จดจำรายละเอียดไม่ได้อีกแล้ว แต่นั่นไม่สำคัญ มันอาจสายเกินไปแต่พวกเขาต้องหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้ มันได้นำพามาซึ่งความทุกข์และเคียดแค้นมากจนเกินไปแล้ว

ในความมืดที่มาคืบคลานมานั้นเจ้าชายได้พบพระมารดาอีกครั้ง แม้มันอาจเป็นภาพวาระสุดท้ายของราชินีวิลเฮลมีนาที่นองเลือดและสยดสยอง แต่ครั้งนี้เขากลับไม่หวาดกลัว ไม่ทุกข์โศก ไม่ร่ำไห้ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่ามือที่ยื่นออกมานั้นหมายความถึงสิ่งใด

…มันเป็นชีวิตที่ดีพะยะคะ… เขาบอกต่อพระมารดา …ลูกมีความสุขมาก…

พลันบนพระพักตร์ของพระมารดาก็ปรากฏรอยแย้มพระโอษฐ์

…แม่เป็นห่วงอยู่เชียว อาวดริค…

***
TBC in Chapter 12

One thought on “A Fairytale: จนฟ้ารุ่งราง บทที่ 11

Leave a comment