A Fairytale: อาณาเขตแห่งเหยี่ยว บทที่ 15

Title: A Fairytale
Book I: อาณาเขตแห่งเหยี่ยว (The Land of the Hawks)
Author: vekin
Rate: PG-13
Warning: คนเขียนอ่อนคำราชาศัพท์เป็นอย่างยิ่ง ต้องขออภัยในความผิดพลาดมา ณ ที่นี้
***บุคคล เหตุการณ์และสถานที่ในเรื่องล้วนสมมติขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องพาดพิงกับบุคคลและเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด***

Chapter 15
####################################################
ไม่มีอะไรอยู่ในดำริของเจ้าชายนอกจากความเบื่อหน่ายขณะที่เหล่านางกำนัลต่างรุมทึ้งพระองค์ในฉลองพระองค์ตัวใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าพระองค์ทรงดูดีเป็นเลิศที่สุดก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน และนั่นไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับคนที่ยืนเป็นหุ่นอยู่นานเสียจนเริ่มเมื่อย ในหลายครั้งพระองค์ข้องพระทัยยิ่งนักว่าคืนนี้พระองค์จะประทับยืนได้นานซักเพียงใด แต่เจ้าชายทรงทราบดีว่าพวกนางจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อองค์ราชินีทรงพอพระทัยแล้วเท่านั้น

พอดำริเช่นนั้นประตูก็เปิดออกและสุรเสียงที่ทรงคุ้นเคยก็ดังลอดมาถึงพระกรรณ เหล่านางกำนัลต่างถอยห่างจากพระองค์แหวกเป็นทางให้ผู้ที่มาเยือนซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากองค์ราชินีอาร์ดารา ” ยอดเยี่ยมมาก ” พระนางเพ่งพินิจพลางยกพระหัตถ์ที่กรุ่นกลิ่นแป้งหอมขึ้นลูบบนฉลองพระองค์ของเจ้าชาย สายพระเนตรของพระนางแสดงความชื่นชมยินดีโดยไม่ปิดบัง ” เจ้าช่างเป็นชายหนุ่มที่รูปงามจริงๆ อาวดริค ”

สิ่งที่ทำให้เจ้าชายทรงสะท้อนพระทัยคือสายพระเนตรนั้นช่างไม่ต่างอะไรจากสายตาของมารดาที่มองดูบุตรรักด้วยความชื่นชมแม้แต่น้อย ” ขอบพระทัย พระองค์เองก็ทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งในค่ำคืนนี้ ” พระองค์ตรัสพลางค้อมพระเศียรหลบพระเนตรเล็กน้อย มันยากยิ่งจะไม่สะดุ้งสะเทือนกับสายพระเนตรนั้นหรือความงดงามอันยากจะหาใดเทียมทันเมื่อพระนางทรงฉลองพระองค์สีขาวประดับด้วยเครื่องทอง ผ้าโปร่งบางสีขาวห้อยจากมงกุฏของพระนางราวกับผ้าคลุมของเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าพิธี

ดำรัสของพระโอรสทำให้องค์ราชินีทรงกำสรวลคิกคัก ” ดูเจ้าพูดเข้า ปากหวานเข้าไป อย่างนี้หญิงสาวคนไหนได้ยินเจ้าเอ่ยทักไม่หลงรักเจ้าตายเลยหรือ ” สำหรับเรื่องนี้เจ้าชายไม่ตรัสตอบสิ่งใดเพียงแค่ก้มพระพักตร์ราวน้อมรับดำรัสนั้นไว้อย่างถ่อมองค์ ยิ่งเห็นเช่นนั้นราชินีอาร์ดาราก็ทรงแย้มยิ้ม ” ลงไปข้างล่างกันเถอะ พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ”

เมื่อเจ้าชายทรงหันพระพักตร์ไปทางหน้าต่างก็ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ดวงอาทิตย์ก็กำลังเคลื่อนคล้อยลงเบื้องหลังแนวทิวเขาสุดสายตาทิ้งแต่แสงสีแดงสดปานโลหิตที่สาดส่องต้องแนวเมฆที่เคลื่อนอยู่เบื้องบน สิ่งที่พระองค์ไม่ทรงทราบคือดวงจันทร์ที่เคลื่อนขึ้นที่อีกฝั่งนั้นก็เป็นสีราวชาดแต้มนี้เช่นกัน

***
ความรื่นเริงล่องลอยอยู่ในอากาศด้วยเสียงดนตรีดังคลออยู่ในห้องโถงอันกว้างขวางที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนสีเหลืองอร่ามจนสามารถขับไล่ความมืดของยามราตรีไปเสียสิ้น อาหารมากมายถูกนำมาตั้งไว้ไม่ขาดสายเพื่อให้แขกทั้งหลายได้สำราญขณะที่เหล่าหญิงสาวต่างวนเวียนไปมาอยู่ไม่ห่างจากบัลลังก์ขององค์กษัตริย์ ที่ข้างบัลลังก์นั้นเองคือที่ซึ่งเจ้าชายทรงประทับรับแขกตามพระราชพิธีเคียงข้างพระบิดา ราชาลุดวิกในตอนนี้ทรงทำได้มีเพียงประทับอยู่บนบัลลังก์ ยักพระพักตร์และแย้มพระโอษฐ์ให้กับอาคันตุกะยามที่พวกเขาค้อมร่างถวายพระพร ไม่ว่าใครก็อาจมองออกว่าพระราชาไม่ได้มีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์อีกแล้ว ในหลายครั้งที่พระองค์ดูราวกับไม่รู้สึกองค์ และแทบไม่อาจตรัสสิ่งใด เป็นราชินีที่คอยดูแลให้มั่นใจว่าพระราชามิได้ทรงเหนื่อยอ่อนจนเกินไปนัก

การทักทายแขกเหรื่อผู้มาเยือนจึงกลายเป็นหน้าที่ขององค์ราชินี ส่วนการโอภาปราศัยกับหญิงสาวผู้มาเยือนนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าชาย หากตลอดเวลานั้นอาวดริคกลับไม่มีแววยินดีบนพระพักตร์ ทุกคำที่พระองค์ตรัสเป็นพิธีการและรอบคอบ การตัดบทสนทนารวดเร็วและสุภาพจนหญิงสาวเหล่านั้นไม่มีโอกาสรั้งพระองค์ไว้แม้แต่น้อย

และราชินีอาร์ดาราก็ทรงสังเกตเห็น เมื่อยามที่ไร้แขกเหรื่อเข้ามาพระนางจึงตรัสถาม ” ไม่ชอบใจใครเลยหรือ ”

ในเวลาเช่นนั้นดูเหมือนเจ้าชายจะยังไม่อยากตรัสสิ่งใด พระองค์เหลือบพระเนตรมองประตูบ่อยครั้งแต่ก็หันมาทางองค์ราชินีก่อนจะตรัสตอบไปว่า ” พวกหล่อนไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ”

” เจ้าก็เกินไป ” พระนางถอนพระทัย ” ไปเถอะไป ไปดื่มไปกินอะไรเสียบ้าง ใครชวนคุยก็คุยกับเขาหน่อยเถอะ เจ้ามีโอกาสนี้เท่านั้นนะ อาวดริค ” แล้วพระนางกับยกพระหัตถ์ขึ้นต้องพระอุระของพระโอรสแผ่วเบาก่อนจะส่งสายพระเนตรให้เจ้าชายเสด็จไปตามรับสั่ง พระองค์ก็ได้เพียงถอนพระทัยก่อนจะค้อมองค์ถวายเคารพพระบิดาแล้วตรงไปยังโต๊ะเครื่องดื่มที่อยู่ไม่ไกล ไม่ว่าผ่านใครไปพวกเขาต่างถวายเคารพกันถ้วนหน้า ถ้าเป็นแขกผู้มีเกียรติก็จะถอยไป แต่ถ้าเป็นพวกผู้หญิงแล้วล่ะก็…..

” พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระองค์ทรงโปรดแชมเปญหรือไวน์หรือเพคะ ” นางหนึ่งถามขึ้นขณะที่ยืนกระลิ่มกระเหลี่ยอยู่ริมโต๊ะเครื่องดื่ม ในมือของหล่อนเป็นแชมเปญที่เต็มไปด้วยพรายฟองขาว นางจิบน้อยๆพอให้ฟองนั้นติดริมฝีปากก่อนจะแล่บเลียเล็กน้อยพอให้น่าเอ็นดู

แต่สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังที่สุดคงเป็นความเย็นชาในพระเนตรของเจ้าชายขณะที่พระองค์หันไปตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า ” ขอไวน์ขาวให้ข้าด้วย ”

หลังจากนั้นมันก็เหมือนโรคระบาดที่หญิงสาวทุกคนจะเดินถือไวน์ขาวร่อนไปมากันให้ทั่วงาน ไม่ว่าพระองค์จะเสวยสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะหมดไปอย่างรวดเร็วราวกับรสนิยมของพระองค์เป็นประกาศิตของฟ้าดินเช่นนั้น ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด หญิงสาวทั้งหลายก็จะตามไปราวแม่งเม่าตามกองไฟฉันนั้น ในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์จะดำริถึงมากไปกว่าเหยือกเบียร์และสหายขี้เมาของพระองค์ที่สามารถพ่นเรื่องราวต่างๆนานาออกมาได้ราวเขื่อนแตกเมื่อมีน้ำเมาเข้าปาก หรืออีกทีก็เป็นวงสุรากลางป่าข้างกองไฟที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเนื้อย่าง เรื่องเล่าจากเมืองต่างๆหรือเรื่องตลกขบขันที่เล่นกันตั้งแต่ศีรษะจนลงต่ำกว่าใต้สะดือ ในเวลาเช่นนั้นดนตรีใดๆก็ไม่จำเป็นเพียงแต่เรื่องเล่าและเสียงโห่ฮาอย่าได้หยุดลงเท่านั้น

ดำริเช่นนั้นแล้วพระเนตรของพระองค์ก็ไพล่ไปที่ประตูอีกครั้ง มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พระองค์จะทอดพระเนตรไปที่นั่น เพราะทรงแน่พระทัยอย่างยิ่งว่าคนๆนั้นไม่มีวันเหยียบเข้ามาที่นี่เป็นแน่นอน

รูปร่างอันสูงสง่านั้นทำให้คุณหนูอนาสตาเซียกัดริมฝีปากอย่างลืมตัวขณะที่สายตาจ้องตรงไปยังเจ้าชายหนุ่มรูปงามที่ต้องตาหล่อนอย่างยิ่งตั้งแต่ทักทายครั้งแรก หล่อนไม่มีปัญหาเลยถ้าจะต้องรักคนๆนี้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีสนอกสนใจหล่อนแม้ตอนนี้จะอยู่ในชุดประดับมุกสีขาวที่งดงามผุดผ่องราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย มองอย่างไรหล่อนก็เหมาะกับการเป็นเจ้าหญิงและราชินี แต่ทำไมเจ้าชายอาวดริคกลับไม่กระทั่งแลตามาที่หล่อนเป็นครั้งที่สอง

ต้องคิดให้ออกว่าจะทำอย่างไร หล่อนมีเวลาคืนนี้ในงานเลี้ยงนี้เท่านั้น ต้องคิดให้ออก

ยามที่แมกซิมิเลียนหันไปเห็นพี่สาวเป็นเช่นนั้นเขาก็อดถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่ายไม่ได้ ตอนนี้อนาสตาเซียพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเกมชิงดีที่ดุเดือดอย่างมากเสียแล้ว ที่แย่กว่านั้นคือหล่อนจริงจังมากเสียด้วย สำหรับเขาที่ถูกหน้าที่บังคับให้ต้องมาก็ได้แต่เมินหน้าหนีไปทางอื่นเท่านั้น นั่นก็ไม่ต่างกันนักสำหรับอาร์เซน ” ท่าทางคุณหนูจะเอาจริงนะครับ ” แล้วเขาก็ส่งไวน์แดงแก้วหนึ่งให้เด็กหนุ่ม

สิ่งที่คุณชายน้อยพึมพำก่อนจะจิบไวน์ก็คือ ” ถ้าไม่ได้ต้องกลับบ้านนอนร้องไห้แน่ๆ ”

นั่นทำให้เด็กชายส่งสายตาเอ็ดเขาเล็กน้อยก่อนจะดื่มแก้วของตัวเองอย่างระมัดระวัง แล้วเขาก็กล่าวว่า ” อย่าไปพูดอย่างนั้นเลยครับ เพราะไม่มีทางสำเร็จแน่ๆอยู่แล้ว ” แล้วสายตาของเด็กชายก็ไพล่ไปที่ร่างนั้นบ้าง

ก่อนที่คุณชายน้อยได้จังหวะถามขึ้นว่า ” เจ้ารู้จักเขาใช่ไหม ”

นั่นทำเอาเด็กชายสำลัก

” ถ้าตั้งใจมองก็ดูออกอยู่แล้ว ” คุณชายน้อยกระซิบ ” ตอนที่เข้าไปถวายพระพรเขาก็เอาแต่มองเจ้า เจ้าเองก็พยายามหลบสายตาตลอด ถ้าไม่รู้จักก็คงไม่ต้องทำถึงขั้นนั้น ”

” ก็คงจริง ” เป็นคำตอบเดียวของเด็กชายก่อนที่เขาจะขะมักเขม้นกับการจิบไวน์และมองไปรอบๆโดยไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้ต่อ คงมีแต่คุณชายน้อยเท่านั้นที่เพ่งมองเด็กชายด้วยความสงสัยแต่เขาก็ไม่ถาม อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ในงานเลี้ยงที่หญิงสาวมากมายขนาดนี้พวกเขาอาจกลายเป็นเป้าของความสนใจและริษยาได้ถ้าพูดเรื่องนี้ให้ได้ยิน ที่สำคัญคือถ้าอนาสตาเซียรู้เข้าคงไม่ปล่อยอาร์เซนไว้เฉยๆเป็นแน่

” เราหลบมุมกันดีกว่า ” คุณชายน้อยกระซิบ ” เราคุยกันในที่ๆคนเยอะเกินไปแล้ว ”

เรื่องนั้นเด็กชายเห็นด้วยเมื่อเห็นท่าว่าบริเวณนี้จะยิ่งเต็มไปด้วยหญิงสาวที่กำลังพยายามเรียกร้องความสนใจจากเจ้าชายกันถ้วนหน้า พวกหล่อนต่างทำเป็นรับประทานหรือพูดคุยกันเพื่ออ้อยอิ่งอยู่โดยรอบที่นั่น แต่สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เดียวกันเสมอ ก็คงแปลกอยู่ถ้าพระองค์จะไม่รู้สึกอึดอัดบ้าง แต่เมื่อพระองค์พยายามส่งสายพระเนตรขอความช่วยเหลือจากองค์ราชินีพระนางก็หรี่พระเนตรเอ็ดมา ยืนยันเช่นเดิมว่าให้พระองค์พูดคุยกับพวกหล่อนเสียบ้าง แต่อาวดริคก็ทรงดื้อด้านเพียงพอจะประทับเงียบเหมือนเดิม

จนในที่สุดหญิงสาวบางคนก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะทำลายความเงียบด้วยตนเอง ” ถวายพระพรเพคะ ” หล่อนกล่าวพลางถอนสายบัวอย่างงดงาม ดวงตากลมโตชะม้ายมองพระองค์อย่างขวยเขิน ” หม่อมฉันเห็นพระองค์ไม่ตรัสกับใครเลยเกรงพระองค์จะอึดอัด หากมีอะไรจะบอกเล่ากับหม่อมฉันก็ย่อมได้นะเพคะ ”

ไม่เลวนักสำหรับการเริ่มต้นเมื่อหล่อนเห็นเจ้าชายเลิกพระขนงน้อยๆ ” ข้าดูอึดอัดมากเลยหรือ ”

” เหมือนพระองค์กำลังรอใครบางคนอยู่เพคะ ” แล้วหล่อนก็หลบสายพระเนตร ” ไม่รู้ว่าเป็นบุคคลจริงๆหรือบางสิ่งที่พระองค์ปรารถนาอยู่ ”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้าชายก็ประทับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสตอบไปว่า ” อาจเป็นทั้งสองอย่างก็ได้ ” แล้วก็เสวยไวน์ในแก้วอย่างรวดเร็วจนผิดวิสัยของการดื่มไวน์ตามปกติ นั่นทำให้หญิงสาวคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย

” พระองค์ไม่ได้โปรดไวน์ขาว ” หล่อนกล่าว

ได้ยินเช่นนั้นพระองค์ก็แย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ” เจ้าเป็นผู้หญิงที่ช่างสังเกตนะ ใช่ ข้าไม่ได้ชอบ ”

” เช่นนั้นเหตุใดพระองค์ไม่ทรงดื่มอย่างที่ชอบล่ะเพคะ ”

เจ้าชายพลันเงียบไป พระเนตรจ้องนิ่งที่ไวน์ที่เหลือในแก้วอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตรัสไปแผ่วๆว่า ” ข้าคงรออยู่จริงๆนั่นแหละ ”

ในตอนนั้นเองที่หญิงสาวอีกหลายคนกรูเข้ามาพยายามเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาให้จงได้ แต่ช้าเกินไปเสียแล้วเมื่อเจ้าชายดูเหมือนจะจมอยู่ในห้วงดำริของพระองค์เอง และหญิงสาวคนแรกก็รู้ดี ” ขอให้พระองค์ทรงพบคนๆนะเพคะ ” หล่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะถอนสายบัวลา เจ้าชายก็เพียงแย้มพระโอษฐ์ให้โดยไม่ทรงถามชื่อแต่อย่างใด

สำหรับหญิงสาวคนอื่นดูจะยิ่งสิ้นหวังกว่านั้นเมื่อพระองค์ไม่กระทั่งจะตอบสนองเมื่อพวกหล่อนพยายามชวนสนทนา บางคนถึงกับดันตัวเองเข้าไปถึงเบื้องพระพักตร์หรือกระแนะกระแหนกันไปต่างๆนานา ไม่นานนักบรรยากาศก็อีดอัดจนเกินจะทนได้และพระองค์เริ่มเสด็จหนี แต่ไปว่าไปที่ใดพวกหล่อนก็จะตามไป ถ้าไม่ใช่คนเดิมก็คนใหม่เหมือนแมลงวันที่ตามไม่เลิกรา อาวดริคได้แต่ถอนพระทัยเพราะพระองค์รู้ดีว่าพระองค์ทำพลาดไปที่เอ่ยพระโอษฐ์สนทนากับหญิงสาวคนนั้น นั่นเป็นการเติมความหวังให้กับคนอื่นๆไปโดยปริยาย

ท่ามกลางความชุลมุนนั่นเองมือหนึ่งก็คว้าพระกรของเจ้าชายแล้วดึงพระองค์ไว้เบื้องหลัง นางในชุดมุกสีขาวปลอดขวางพระองค์จากหญิงคนอื่นๆก่อนจะกล่าวกับคนเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ เจ้าชายไม่ทรงปรารถนาจะสนทนากับผู้ใด พวกเจ้าก็อย่าเซ้าซี้ให้พระองค์ทรงรำคาญนักเลย ”

จริงอยู่ว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นพระพักตร์ของหญิงสาวคนนั้น แต่พระพักตร์ของหญิงคนอื่นนั้นพระองค์ทรงเห็นอย่างแจ่มชัด และมันน่าเกลียดน่ากลัวกว่าที่พระองค์อย่างที่พระองค์คาดไม่ถึง ไม่แน่นักว่าพวกหล่อนเองก็คงไม่รู้ขณะที่พวกหล่อนเข้ามาประจันหน้ากับหญิงสาวคนนั้นแล้วถามอย่างสุภาพและยอกย้อนโดยมีใจความว่ามันเป็นกงการอะไรของเจ้าหล่อนที่ต้องขวางทางคนอื่นเช่นนั้น ในชั่วขณะนั้นเจ้าชายทรงรู้สึกราวกับว่าพระองค์เป็นของรางวัลที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆนอกจากเฝ้ามองขณะที่หญิงสาวแต่ละคนชิงดีกันเพื่อให้ได้พระองค์ อาวดริคเหลือบพระเนตรไปทางพระราชินีอีกครั้งแต่ดูเหมือนพระนางจะกำลังติดพันกับการพูดคุยเรื่องบ้านเมืองกับขุนนางคนสำคัญมากเกินกว่าจะสนใจความเกมชิงดีกันดุเดือดนี้

แต่ดำริของพระองค์ก็ต้องสะดุดเมื่อมืออ่อนนุ่มเข้ามาจับพระพาหา หญิงสาวในชุดสีชมพูกระซิบกับพระองค์อย่างมีนัยว่า “ ฟังคนทะเลาะกันหม่อมฉันว่าพระองค์คงเบื่อ มาทางนี้ดีมั้ยเพคะ ” แล้วมีหรือที่คนอื่นๆจะไม่สังเกต ก่อนที่พระองค์จะทันตั้งสติได้ หญิงคนนั้นก็ถูกใครบางคนจิกผมจนต้องร้องโอดโอย ฉับพลันความตีงเครียดที่เคยเพียงล่องลอยอยู่ปริ่มๆก็ระเบิดเมื่อพวกหล่อนเริ่มลงไม้ลงมือกัน นั่นรวมถึงหญิงสาวในชุดมุกสีขาวที่เขามาขวางพระองค์ อีกครั้งที่หล่อนเอาตัวเองเข้าขวางพระองค์เพียงเพื่อจะโดนตบเข้าเต็มหน้า

และนั่นเกินไปมากสำหรับอาวดริค ในที่สุดพระองค์ก็ทรงรำคาญเกินกว่าจะอยู่เฉยๆ พระองค์ดึงแขนหญิงสาวคนนั้นมาหลบด้านหลังแล้วรับฝ่ามือที่หวดจนพระพักตร์หัน

นั่นทำให้หญิงสาวตรงหน้าพระองค์ต้องชะงัก ความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นลามไปรวดเร็วขณะที่หล่อนถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว ” ถ้าพวกเจ้าก่อความวุ่นวายมากไปกว่านี้ล่ะก็ ข้าคงต้องให้มหาดเล็กเชิญพวกเจ้ากลับไปเสีย ” เจ้าชายตวาดด้วยสุรเสียงและสายพระเนตรที่แสดงการตำหนิอย่างชัดเจนขณะที่พระองค์ทรงหันกลับไปประจันหน้ากับฝูงชน ความจริงแค่พระเนตรของพระองค์ก็คงทำให้พวกหล่อนหยุดได้แล้ว แต่ยิ่งพระสุรเสียงที่กังวาลทรงพลังหญิงสาวทั้งหลายยิ่งได้แต่เงียบ โดยเฉพาะกับดำรัสสุดท้าย ” ไปได้แล้ว ”

สิ้นคำนั้นหญิงสาวเหล่านั้นก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหญิงที่ตบพระองค์นั้นหล่อนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อรอบข้างปลอดคนแล้วพระองค์ก็ทรงหันไปทางผู้ที่พยายามช่วยพระองค์ แต่ก่อนจะได้ตรัสถามหล่อนกลับชิงถามพระองค์ว่า “ พระองค์ไม่เป็นไรนะเพคะ”

เจ้าชายก็เพียงส่ายพระพักตร์ แค่โดนตบมันน้อยนิดนัก ” แล้วเจ้า- ”

” อนาสตาเซียเพคะ ” พระองค์ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดพระขนงน้อยๆ หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยๆด้วยความขวยเขิน ” หม่อมฉันนึกว่าพระองค์จะทรงถามชื่อน่ะเพคะ ”

” อ้อ ” พระองค์แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยอย่างละอาย ” แย่จริงๆที่ข้าไม่ได้ถามชื่อเจ้าเลยทั้งที่เจ้าเข้ามาช่วยข้า ”

” ไม่เป็นไรมิได้เพคะ ” หล่อนยิ้มอ่อนหวาน ” อนาสตาเซีย เอสเมรัล เมริสมา เพคะ ”

ชื่อนั้นทำให้สายพระเนตรแปรเปลี่ยนในทันทีจนแม้แต่หญิงสาวเองก็แปลกใจ ยิ่งเมื่อพระองค์เอ่ยปาก ” เจ้าว่าเมริสมางั้นหรือ ”

” เพคะ ” หล่อนเอียงคอมองน้อยๆ ” พระองค์ทรงรู้จักหรือเพคะ ”

เจ้าชายทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อย ” ก็ว่าอยู่ “

นั่นทำให้หล่อนมุ่นคิ้วในทันที “หม่อมฉันไม่เข้าใจพระดำรัสเพคะ “

“ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ที่ข้ารู้มาท่านเมริสมามีลูกชายสองคน ไม่ยักรู้ว่ามีลูกสาว ”

” หม่อมฉันเป็นลูกสาวบุญธรรมเพคะ ” หล่อนตอบ ” ท่านแม่ของข้าแต่งงานกับท่านเคานท์เมริสมาหลังจากภรรยาคนแรกของท่านเสียไป ”

สดับเช่นนั้นแล้วพระองค์ ก็ยักพระพักตร์ ” อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงมาที่นี่ด้วยสินะ ”

พลันสีหน้าของหญิงสาวก็แปรเปลี่ยน ในสายตาของหล่อนบอกชัดถึงความขัดเคืองราวที่หายเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็ว ” คนรองน่ะมาด้วย แต่คนโตไม่อยู่ที่นี่เพคะ ”

อาวดริคสดับเช่นนั้นก็เลิกพระขนงเล็กน้อย หล่อนรู้สึกได้ทันทีว่าพระองค์กำลังลองเชิงบางอย่างกับหล่อนอยู่ ” น่าแปลกนะ ” พระองค์ตรัสแล้วก็ถอนพระทัย ” เจ้ารู้ไหมว่าทำไม ”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหล่อนกระตุกในทันที แต่หล่อนบอกตัวเองว่าต้องนิ่งไว้ ไม่ว่าอย่างไรหล่อนต้องเป็นหญิงสาวที่สงบนิ่งเหนือผู้ใด ” เขาไม่ค่อยชอบงานสังคมนักเพคะ ” หล่อนรีบตอบจนหางเสียงห้วนกว่าที่นางตั้งใจ แล้วใยเจ้าชายจะไม่ทรงทราบ สายพระเนตรนั้นมีความคิดคำนวณที่ทำให้เลือดลมของหล่อนพลุ่งพล่านและในลำคอแห้งผาก เพราะหล่อนรู้ว่าการสนทนานี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวหล่อน ความสนพระทัยของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่หล่อน เจ้าชายเพียงคุยกับหล่อนเพราะหล่อนรู้จักซาร์ค

และที่ถามย้อนไปมาแบบนี้ มีได้อย่างเดียว ” พระองค์รู้จักซาร์คหรือเพคะ ”

ถึงคราวที่เจ้าชายจะทรงเงียบไปบ้าง แต่ความตกพระทัยนั้นก็ชัดเจนจนหล่อนแน่ใจ จะมีเหตุผลใดเสียอีกที่พระองค์จะถามไถ่เรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้นั้นหากทรงทราบว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ หรือเคยได้ยินเพียงชื่อ พระองค์รู้จักเจ้าเด็กนั่น รู้จักมากพอสนพระทัยมากพอที่จะพยายามถามไถ่เรื่องราวจากคนที่พระองค์คาดว่าน่าจะใกล้ชิดกับเจ้านั่น

ใครจะไปนึกว่าเจ้าเด็กนั่นจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ของหล่อนได้

ที่หล่อนไม่รู้คือสายตาของน้องชายของหล่อนเองก็กำลังมองมาทางนี้ ท่าทีที่เริ่มแปรเปลี่ยนของผู้พี่ทำให้คุณชายน้อยเริ่มร้อนใจ ความจริงมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขานักที่จะเข้าไปสอดตอนที่พี่สาวพยายามจะสานสัมพันธ์กับเจ้าชายอยู่เช่นนั้น แต่จากสีหน้าของนางท่าทางว่าการสนทนานี้จะไม่รื่นรมย์เสียเท่าไหร่นัก ทางที่ดีที่สุดคงเป็นการหยุดหล่อนไว้ตรงนั้นก่อนที่หล่อนจะเริ่มตีโพยตีพายอาละวาดทำงามหน้ากลางงานแบบนี้

แต่แรงดึงบนแขนหยุดเขาไว้ ” คุณชายน้อยจะไปไหนครับ ” สีหน้าของอาร์เซนตอนที่เขาหันไปมองนั้นทำเอาเด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความกังวลอยู่ในสายตาคู่นั้นชัดเจนเกินกว่าที่เขาอยากจะรับรู้

” ข้าต้องไปหยุดพี่ก่อน เดี๋ยวมา ”

แต่เด็กชายก็ไม่ยอมปล่อย ” พวกคุณจะทะเลาะกันในที่แบบนี้ไม่ได้นะครับ ”

แต่เด็กหนุ่มก็ดึงแขนออก ” ข้าก็ปล่อยให้เขาหาเรื่องกับเชื้อพระวงศ์ไม่ได้หรอก ” แล้วก็รีบเดินไปในทันที

แต่ก่อนที่จะทันก้าวไปได้ไกลเสียงฮือฮาก็เรียกความสนใจจากทุกคนในห้องนั้น หญิงสาวต่างพึมพำด้วยความพิศวงงงงันในขณะที่น้ำเสียงของผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายในที่นั้นก็ต่างกระซิบกันด้วยความสงสัยใคร่รู้เมื่อร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นจากด้านนอกประตูด้วยกิริยาอาการและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูราวกับเขาเป็นเจ้าชายจากแดนไกล ใบหน้าที่เชิดขึ้นเล็กน้อยมองตรงไปข้างหน้าขณะที่ก้าวอย่างสง่างามตามมาด้วยองครักษ์ที่ต่างสำรวมกิริยานอบน้อมติดตามเขาโดยไม่สนใจคนอื่นใด คำถามที่กระซิบกระซาบกันไปทั้งห้องนั้นคือเขาเป็นใคร ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้

ยกเว้นคนเพียงไม่กี่คนที่จดจำใบหน้าอันเยาว์วัยและเส้นผมสีแดงเพลิงนั้นได้แม่นยำ คงยากสำหรับอาวดริคที่จะข่มพระพักตร์ให้ราบเรียบเหมือนก่อนหน้าได้ พระองค์รีบผละจากหญิงสาวแล้วลัดเลาะฝูงชนตรงไปที่บัลลังก์ในทันที หลังจากนานแสนนานที่ข้างบัลลังก์นั้นพระองค์เพียงทำตามประเพณีสิ่งที่พระองค์หวังก็มาถึงในที่สุด

แต่ที่กลางห้องนั้นเองที่มหาดเล็กคนหนึ่งหยุดเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพว่า ” ขอประทานอภัย แต่ข้าต้องขอตรวจอาวุธของท่านก่อนขอรับ ”

” อ้าว อย่างนั้นหรือ ” เขาตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ” นี่ท่านตรวจทุกคนในที่นี้แบบนั้นหรือ ”

” ขอรับ ”

นั่นทำให้เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ” รวมทั้งพวกผู้หญิงด้วยอย่างนั้นหรือ ”

คำล้อเลียนนั้นทำเอามหาดเล็กคนนั้นหน้าแดงไปถึงใบหูแต่ก็ตอบว่า ” มิได้ขอรับ เช่นนั้นไม่สุภาพ แต่กรณีของท่านซึ่งเป็นชาย รวมถึงองครักษ์ของท่าน คงต้องขอตรวจก่อนขอรับ ”

” อย่างนั้นหรือ ” เด็กหนุ่มกล่าวพลางถอนใจ ” แย่จริงๆที่เป็นผู้ชาย ”

แล้วฉับพลันที่เขาล้วงเข้าไปในเสื้อนอกตัวยาวร่างของเขาก็พุ่งตรงไปเบื้องหน้าราวกับลมพัดปลิว องครักษ์ทั้งหมดชักอาวุธจากใต้เสื้อคลุมออกมาโดยพร้อมเพรียงเหมือนนัดหมายไว้และโจมตีมหาดเล็กทั้งหลายจนสลบไสลไปในเวลาไม่นาน ก่อนที่ทหารทั้งหลายจะหายตกใจกับสิ่งทีเกิดขึ้นเด็กหนุ่มก็อยู่เพียงไม่กี่ช่วงก้าวจากบัลลังก์แล้ว

ในตอนนั้นเองที่ทหารอัศวินในชุดเกราะปรากฏตัวขึ้นในห้องนั้นราวกับเกิดขึ้นจากอากาศธาตุ เข้าป้องกันพระราชาอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน เสียงดาบที่กระทบกันนั้นมากพอจะทำให้หญิงสาวหวีดร้องกันด้วยความตกใจ ความนิ่งงันตื่นตะลึงในคราแรกกลายเป็นความอลหม่านแทบจะในทันทีเมื่อหลายคนพยายามหนีออกไปจากห้องนั้นขณะที่ทหารก็ต่างพยายามจะสวนทางเข้ามา

และคนที่ติดอยู่ท่ามกลางกระแสชนที่บ้าคลั่งนั้นก็ไม่พ้นใครอื่นนอกจากคุณชายน้อยซึ่งมองตรงไปยังเด็กหนุ่มด้วยความไม่เชื่อ สองปีแล้วที่ซาร์คหายตัวไปจากบ้านไม่มีแม้ข่าวคราวถึงหูใครเว้นแต่อาร์เซน แล้วตอนนี้เขามาที่นี่ได้อย่างไร แต่ก่อนที่จะทันหาคำตอบใดๆร่างหนึ่งก็แผล็วออกไปจากด้านหลังเขาสวนกระแสฝูงชนพยายามเข้าไปยังการต่อสู้อย่างสุดกำลัง ” อาร์เซน! ” คุณชายน้อยตะโกนผ่านเสียงเอ็ดอึงอลหม่านขณะที่เข้าคว้าเด็กชายไว้ ในครั้งแรกเขาถูกสะบัดจนหลุดแต่ไม่ใช่เมื่อเขารวบอาร์เซนไว้ทั้งตัว ” เราต้องไปแล้ว ”

” ข้าต้องหยุดเขาก่อน! ” เป็นเด็กชายที่ตะโกนสวนกลับมาหากสายตายังคงจ้องตรงไปเบื้องหน้าผ่านฝูงชนที่พยายามดันพวกเขาให้ถอยหลัง ” ข้าปล่อยให้เขาทำแบบนี้ไม่ได้ ”

แต่คุณชายน้อยไม่ปล่อย ” เจ้าจะบ้าหรือไง ตอนนี้เขาไม่ฟังเจ้าหรอก ”

” แต่- ”

” ถ้าเจ้าออกไปก็ต้องโดนข้อหากบฏไปด้วย ถ้าเขาไม่อยากให้เจ้ามีพี่เป็นโจรก็ยิ่งไม่ต้องการให้เจ้ามีพี่เป็นกบฏแน่ ” แมกซิมิเลียนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ” ตอนนี้เขาไม่ใช่พี่ชายของเจ้าแล้ว อาร์เซน ”

น่าแปลกที่เมื่อพูดคำนั้นตัวเขาเองก็เจ็บในอกพอๆกับที่เขาเห็นจากเด็กชาย มันเหมือนเรี่ยวแรงจะละหายจากร่างของอาร์เซนไปในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ดวงตาคู่นั้นยังคงมองไปราวอ้อนวอนให้คนๆนั้นจะมองกลับมา ให้เขาได้คิดและหยุดเรื่องราวที่กำลังดำเนินไป แต่มันจะไม่เกิดขึ้น พวกเขาทั้งสองรู้ดี ตอนนี้ไม่มีทางที่ซาร์คจะถอยหลังกลับ สิ่งนั้นแม้แต่เจ้าชายก็ทรงทราบ นั่นคือเหตุที่ทำให้พระองค์ก้าวพระบาทไม่ออกอีกแม้แต่ก้าวเดียวตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มชักดาบสั้นเล่มนั้นออกจากฝัก มันไม่ใช่เพียงความตกใจ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอยู่ที่พระองค์สังหรณ์อยู่กลายๆอยู่แล้วว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้เพียงแต่พระองค์ไม่ทรงนึกว่ามันจะเกิดขึ้นจริง พระองค์มองในแง่ดีว่าซาร์คจะไม่บ้าบิ่นพอใช้โอกาสนี้บุกเข้ามาแต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เหยี่ยวป่าเกือบทั้งหมดอยู่ที่นี่ สวมใส่เสื้อผ้าราวกับองครักษ์ของขุนนางห้ำหั่นอยู่กับทหารทั้งหลายที่กำลังทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เหล่ามหาดเล็กพยายามกันพระองค์ออกไป แต่เสียงเรียกนั้นก็เหมือนจะมาจากที่ไกลๆเท่านั้น พระบาทของพระองค์เหมือนจะยึดไว้อยู่กับที่ไม่อาจเสด็จไปที่ไหนได้

แม้ขณะที่กองทหารรายล้อมผู้เป็นหัวหน้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดความตั้งใจง่ายๆ เขาชิงดาบอีกเล่มจากทหารคนหนึ่งซึ่งล้มไปมาถือไว้ในมือ และด้วยดาบทั้งสองเล่มนั้นเข้าห้ำหั่นกับอัศวินชุดเกราะที่ยังไม่มีใครโค่นได้ แต่สังหรณ์ของพระองค์ก็บอกว่าไม่ใช่ ซาร์คไม่ได้จะล้มเขาแต่-

ร่างนั้นพลิกพลิ้วหลบหลีกไปได้ เด็กหนุ่มหลอกล่อจนหลุดจากวงล้อมนั้นแล้วมุ่งต่อไป สายตามองชัดไปที่บัลลังก์ที่ซึ่งทั้งพระราชาและพระราชินีประทับอยู่ แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่งสำหรับดาบของอัศวินอีกคนที่มุ่งไปที่หัวใจ มันเป็นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นที่ตัดสินทุกสิ่ง พริบตาขณะที่ผู้เป็นหัวหน้ามั่นใจอย่างยิ่งว่าแมวเก้าชีวิตอย่างเขาจะถึงฆาตก็คราวนี้ แต่ในพริบตาเดียวกันนั้นเองที่ดาบเล่มหนึ่งขวางชีวิตของเขาออกจากความตายและยันอัศวินผู้นั้นให้ถอยออก และคนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าชายอาวดริคเอง

คำว่าตกใจคงน้อยไปสำหรับทั้งเหล่าอัศวินทั้งสำหรับเหยี่ยวป่า แต่คนที่ตกใจที่สุดกลับไม่พ้นเป็นตัวเจ้าชายที่ขยับออกมาช่วยคนที่ไม่สมควรช่วยในวินาทีสุดท้าย แต่จะทำอย่างไรได้ จะให้พระองค์ดูดายให้คนๆนี้ตายหรือ

แต่ที่เบื้องพระพักตร์ก็เป็นผู้ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด มันเหมือนมีธนูดอกยาวเสียบเข้าที่อุระของพระองค์ให้เจ็บเหลือแสนเมื่อเงยขึ้นสบพระเนตรกับองค์ราชา พระบิดาผู้กำลังมองลงมายังพระองค์ด้วยความตื่นตระหนกตกพระทัยอย่างที่ทำให้พระโอรสรู้สึกราวเป็นใบ้ พระองค์เป็นเพียงผู้เฝ้ามองในเปลือกร่างไม่อาจขยับไปไหน สิ่งสุดท้ายที่พระองค์ได้ยินคือ ” เจ้าบ้าเอ๊ย ” แต่ไม่ทรงทราบเลยแม้แต่น้อยว่าท้ายที่สุดเหยี่ยวป่าก็ต้องถอนกำลังออกไป สำหรับพระองค์เบื้องพระพักตร์มีเพียงพระบิดาและพระพักตร์ที่แสดงความเจ็บปวดขององค์ราชินีขณะที่พระนางจ้องมองด้วยพระเนตรคลอน้ำตามาจากข้างราชบัลลังก์ มันเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดที่พระองค์ไม่เคยคิดว่าจะได้ทอดพระเนตรจากใบหน้าที่งดงามยิ่งนั้นขณะที่พระนางเค้นพระสรุเสียงเพื่อตรัสว่า

” เจ้าทำอย่างนี้กับพ่อได้อย่างไร อาวดริค!! ”

สายพระเนตรเหลือบมองไปที่พระหัตถ์ของพระองค์ และที่นั่นดาบยาวของพระองค์ยังคงอยู่ ดาบที่ป้องกันกบฎผู้นั้นไว้

แต่พระองค์ก็ไม่ได้หันดาบใส่พระบิดาเช่นกัน ” ข้าไม่ได้- ”

แต่องค์ราชินีกลับเบือนพระพักตร์หนีแล้วสั่งว่า ” เอาตัวเขาไป ”

พระอัสสุชลที่หลั่งออกมาบนพระพักตร์งดงามนั้นมากพอที่จะทำให้พระองค์นิ่งงันขณะที่ทหารสองนายเข้ารวบพระองค์ไว้ อาวุธคือดาบยาวเพียงเล่มเดียวนั้นถูกขว้างส่งไปเบื้องหน้าบัลลังก์ ตรงเบื้องพระพักตร์ของพระบิดาที่ยังทรงประทับนิ่งไม่ตรัสสิ่งใด

” ท่านพ่อ ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลยจริงๆ ” พระองค์ตรัสด้วยสุรเสียงอันดังราวพยายามเรียกพระสติขององค์ราชาคืนมา ” ท่านพ่อ ข้าไม่ได้จะทำร้ายท่าน ท่านพ่อ!! ”

แต่ไม่ว่าพระองค์จะอ้อนวอนเช่นไร พระพักตร์ของลุดวิกก็ไม่ได้หันมายังพระองค์แม้ขณะที่เจ้าชายทรงถูกลากออกไปจากห้องนั้น ทั้งที่พระองค์พยายามสุดกำลังจนนาทีสุดท้าย แต่พระเนตรขององค์ราชาก็เพียงเบิกกว้างทอดไปเบื้องหน้าราวมีสิ่งอันน่าพรั่นพรึงอยู่ที่นั่น อาการเช่นนั้นองค์ราชินีเองก็ทอดพระเนตรเห็นโดยชัดแจ้ง พระนางค้อมองค์ลงข้างขณะที่ซับพระอัสสุชลบนพระพักตร์พลางตรัสปลอบว่า ” อย่าทรงกังวลพระทัยไปเลยนะเพคะ ” แล้วพระนางก็พยายามจะแย้มพระโอษฐ์ให้เพื่อปลอบขวัญ ” เดี๋ยวทรงเสวยยาแล้วบรรทมเสีย เรื่องนี้ให้หม่อมฉันจัดการเถิดเพคะ ”

แม้กระนั้นพระราชาก็หาได้ตรัสสิ่งใดไม่ พระองค์เพียงทอดพระเนตรไกลออกไปในความเงียบงัน

***
เขาไม่แน่ใจอีกแล้วว่ามันเป็นเวลาใดในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น ดวงจันทร์เหมือนจะคล้อยไปมากโขเทียบกับตอนที่เขาลงนั่งอยู่ที่นั่นครั้ง เขายังไม่ขึ้นนอน สายตายังคงจ้องมองขึ้นไปบนฟ้าขณะที่เอนพิงกำแพงไม้ของโรงนาหูเงี่ยฟังทุกสรรพเสียงรอบกาย แต่ไม่มีเสียงใดดังลอดมา แม้แต่เสียงนกฮูกที่ร้องอยู่เป็นปรกติทุกวันคืนนี้ก็พาลเงียบไปเสียด้วยราวกับรู้ว่าใจเขาจะหวังลมๆแล้งๆกับเสียงนั้น

” ท่านพี่ต้องมา ” เขาพึมพำกับตัวเองแม้แววตาจะสั่นไหว ” เขาต้องมาพบข้า ” เขาบอกตนเองซ้ำซากมากี่ครั้งแล้วเพื่อให้ตนเองเชื่อ เขาอยากจะเชื่อ หัวใจเขาต้องการที่จะเชื่อ แต่สิ่งที่เห็นด้วยสองตานั้นก็ใช่ว่าจะลบเลือนกันได้ แม้เมื่อเขาพยายามจะโกหกตัวเองจนถึงที่สุดก็ตาม เขากำลังรอพี่ชาย แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าพี่จะไม่มา

…เขาไม่ใช่พี่ของเจ้าแล้ว….

น้ำลายเหมือนจะกลืนลงไปได้อย่างยากลำบาก เขาส่ายหัวไล่ความคิดนั้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ทำได้ ซาร์คจะกลับมาหาเขา ไม่ว่าอย่างไรก็จะกลับมาหาเขา และเขาจะรอ

” อาร์เซน ”

เสียงเรียกที่คุ้นเคยทำให้เด็กชายเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ที่เบื้องหน้าของเขาไม่ใช่พี่ชายที่เขารอให้มาหา เงาร่างที่คุ้นเคยกลับทำให้เขาโล่งใจอย่างประหลาด ” คุณชายน้อยยังไม่นอนหรือครับ ” เขากลืนน้ำลายถามเพื่อไม่ให้เสียงสั่น

แต่มีหรือที่แมกซิมิเลียนจะไม่รู้ ” ถ้านอนคงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรอก ” แล้วเด็กหนุ่มก็ก้าวมายืนเบื้องหน้าเขาใกล้เสียจนเงาของร่างนั้นบังเขาไว้มิด ” รอซาร์คอยู่อย่างนั้นหรือ ”

ทำไมคนๆนี้ต้องรู้จักเขาดีขนาดนี้กันนะ

ในเวลาเช่นนี้เขาเกลียดตัวเองเหลือเกินที่อ่อนแอเกินกว่าจะสู้หน้าอีกฝ่ายได้ เด็กชายได้แต่หลบสายตาลงต่ำปล่อยให้เงาบดบังใบหน้าของเขาไว้จากสายตาของคุณชายน้อย แมกซิมิเลียนก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เขายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวจนในที่สุดอาร์เซนก็กล่าวขึ้น ” เขาสัญญากับข้าแล้วว่าจะไม่ทำอะไรเกินตัว ” เด็กชายกระซิบเสียงแผ่ว ” เขาบอกข้าแบบนั้นทั้งที่เขาลักพาตัวเจ้าชาย ทั้งที่สัญญาแล้วก็ยังบุกเข้าไปในปราสาท เหมือนมันไม่สำคัญอะไรเลยสำหรับเขา ” อีกครั้งที่เขาพยายามกลั้นสะอื้น ” ทั้งที่คนที่จะเป็นอันตรายก็เป็นเขาเอง แล้วข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ”

น้ำตาของเขากำลังจะอยู่ร่วงแล้วในตอนที่ร่างเบื้องหน้าเอื้อมมือมาโอบเขาไว้ให้อิงเข้ากับตัว แขนทั้งสองข้างเหมือนจะปกป้องเขาจากทุกสิ่งรอบกายในขณะที่กำแพงภายในตัวเขากำลังทลายลงอย่างช้าๆ เขาได้แต่นึกสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขายอมให้คนๆนี้เข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ในตอนที่เปราะบางขนาดนี้

และคำพูดเดียวที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มก็คือ ” เจอกันครั้งหน้า ข้าจะต่อยเขาให้เอง ”

บางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลลงอาบแก้ม ขณะที่อาร์เซนโอบร่างเบื้องหน้าไว้โดยแทบไม่รู้ตัวเลย

***
ผลลัพธ์นี้แย่กว่าที่เขากลัวในตอนแรก เขารู้ว่ามันเป็นการกระทำที่โง่เง่า แต่ที่มันโง่เง่าเพราะเขาไม่อาจทำให้ความตั้งใจเป็นผลสำเร็จได้ทั้งที่โอกาสนั้นอยู่ตรงหน้า อีกแค่ไม่กี่ก้าวเขาก็จะกำจัดนางไปได้โดยไม่ต้องลากใครมาเกี่ยวข้อง แต่ไม่กี่ก้าวนั้นกลับกว้างใหญ่เกินกว่าเขาจะข้ามไปได้ เขาถอนใจเฮือกใหญ่อย่างหัวเสียพลางถอดเสื้อนอกทิ้งด้วยความหงุดหงิด พลาด เขาพลาด ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการพลาดคราวนี้อาจหมายถึงชีวิตของพวกเขาทั้งหมดก็ได้ นี่เป็นการเดิมพันที่เขาแพ้หมดรูปจริงๆ

” มันไม่เชิงเป็นความผิดท่านนะครับ ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินตามหลังเขากล่าวขึ้นทั้งที่ยังแขยงอารมณ์ของผู้เป็นหัวหน้า ซาร์คยามที่หงุดหงิดงุ่นง่านไม่ว่าใครก็ไม่อาจสู้หน้าได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคุยกัน แต่เพราะดูออกพวกเขายิ่งไม่อาจปล่อยไว้เฉยๆได้ ” พวกเราเองก็เห็นดีเห็นงามไปกับแผนการณ์ของท่านกันหมด พลาดคราวนี้มันไม่ใช่ท่านคนเดียวเสียหน่อย ”

เด็กหนุ่มแค่ตอบว่า ” พูดง่ายนะ ” แต่ก็ยังมุ่งต่อไปข้างหน้าโดยไม่เหลียวหลัง พวกเขาได้แต่หวังว่าจะถึงที่พักโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก่อนที่ทหารทั้งหลายจะตามมา ร่องรอยลวงมากมายถูกทิ้งไว้โดยรอบแล้ว พวกเขาแค่ต้องซ่อนตัวโดยไวเท่านั้น กระนั้นเด็กหนุ่มรู้ดีว่าพวกเขาอาจมีเวลาไม่มากนัก คราวนี้พวกเขาไม่มีตัวประกัน ถ้ากองทัพสามารถตามมาได้พวกเขาจะถึงที่ตาย และทั้งหมดนั้นเพราะการตัดสินใจของเขาคนเดียวแท้ๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามเยือกเย็นเข้าไว้ พวกเขาทำอะไรไม่ได้มากนักจนกว่าจะกลับไปยังที่พัก ยังมีคนที่รอเขาอยู่ คนพวกนั้นสมควรจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นั่นเท่านั้นที่เขาจะได้นั่งคิดว่าเขาควรทำอย่างไรโดยที่จิตใจไม่ว้าวุ่นเช่นตอนนี้

แต่ทันทีที่เรือนต้นไม้อยู่ในสายตา เขาก็รู้ว่าสวรรค์คงไม่บันดาลความสงบให้เขา ” เป็นยังไงบ้างครับหัวหน้า ” ยามที่เฝ้าอยู่ถามขึ้นทันทีที่เห็นพวกเขา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความคาดหวังที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องกลืนน้ำลาย สีหน้าของเขาในตอนนั้นคงชัดเจนเสียจนอีกฝ่ายคาดเดาได้ไม่ยากนัก พวกเขาจึงเปลี่ยนเป็นถามว่า ” ล้มไปกี่คนครับ ”

” ห้า ” ใครซักคนจากด้านหลังตอบแทนให้ซึ่งเขาก็นึกขอบใจ เขาก็ไม่อาจสู้หน้าคนเหล่านั้นได้ตรงๆในตอนนี้

ชายหนุ่มเหล่านั้นเองก็พอรู้ คนหนึ่งตบบ่าเขาก่อนจะกล่าวว่า ” พักผ่อนก่อนเถอะครับ เรื่องอื่นมาคิดกันพรุ่งนี้ ข้าจะดูแลที่นี่ให้เอง ”

ซาร์คก็ได้แต่ยิ้มเพลียๆขณะที่บอกขอบคุณไป พวกเขาจะแยกย้ายกันไปตามเรือน ตัวเขาเองก็ทำได้แค่ไต่ขึ้นไปยังเรือนใหญ่ซึ่งมีคนที่เขาสั่งให้รออยู่

” คีธตื่นหรือยัง กิล ” เขาถามขณะที่ถอดรองเท้าหนังหรูหราที่ตอนนี้เปรอะดินจนมอมแมมออก

คนที่รอเขาอยู่ในห้องนั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยไม่ต่างจากเขานัก เขายังคงบดรากไม้เตรียมยาเหมือนทุกวันตอนที่ตอบว่า ” ยังเลยครับ ”

ได้ยินแค่นั้นมือของเด็กหนุ่มก็ชะงัก คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดนิ่ว ” เขาน่าจะตื่นแล้วไม่ใช่หรือ ”

” น่าจะหายมึนงงแล้วด้วยซ้ำไป ” กิลตอบ ” แต่ข้าเพิ่งไปดูเขามา เขายังหลับอยู่เลย ”

ความคิดที่เลวร้ายที่สุดแล่นผ่านหัวซาร์คไปในทันที ” เจ้าคงไม่ได้ให้ยาเกินขนาดหรอกนะ ”

กิลเถียงกลับในทันทีว่า ” ข้าทำตามเทียบยาทุกอย่างนะ ”

” แล้วทำไมเขาไม่ตื่นทั้งที่มันควรจะหมดฤทธิ์แล้วล่ะ ”

ไม่มีคำตอบ สิ่งที่อยู่ในหัวของคนทั้งสองมีแต่เรื่องเลวร้ายนานาสารพัดที่พุ่งเข้ามา ถ้ายาเกินขนาดจริงๆล่ะ ถ้ามันมีผลข้างเคียงมากกว่าที่เขาคิด ถ้าส่วนผสมบางอย่างผิดส่วนไป ถ้าคีธจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก….

เพียงแค่นั้นซาร์คก็ดึงรองเท้าหนังออกอย่างไม่ไยดีแล้วมุ่งตรงไปยังเรือนที่พักทั้งเท้าเปล่า ยังไงเขาก็ต้องเห็นกับตา ถ้าคีธจะไม่ตื่นเองเขานี่แหละปลุกชายหนุ่มให้ตื่นให้ได้

แต่ที่ราวสี่ก้าวจากประตูร่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น ใบหน้าที่คุ้นเคยจ้องเขาเขม็งสีหน้าถมึงทึงจนเด็กหนุ่มต้องหยุดฝีเท้า เขาต้องกลืนน้ำลายทันทีที่สบสายตากับดวงตาคมกริบแข็งกร้าวราวกับมีดที่เฉือนเข้าในอกของเขาโดยไม่อาจป้องกันได้

” กลับมาแล้วหรือ ” เป็นคำทักทายห้วนๆที่ผู้เป็นหัวหน้าได้รับ

เขาต้องกลืนน้ำลายหลายอึกก่อนจะสามารถตอบได้ว่า ” กลับมาแล้ว ”

ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะบอกว่ารับรู้ ปากของเขาบอกว่า ” ดีนะที่ตายแค่ห้า ”

อีกครั้งที่มีดนั้นแทงเข้าที่หัวใจ เชือกเฉือนจนเขาอยากจะตายเสียตรงนั้น ทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียงไม่เหลือที่ใดๆให้เขาแก้ตัว เขาเคยเห็นสายตานี้เมื่อนานมาแล้วก่อนที่จะมีกระทั่งเหยี่ยวป่า นานเสียจนเขาลืมไปแล้วว่ามันอาจน่ากลัวได้ถึงเพียงไหน ” ข้าขอโทษ ” ซาร์คกล่าวเสียงแผ่ว

” เรื่องอะไร ”

อีกครั้งที่เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย ” ที่วางยานอนหลับเจ้า ”

นั่นทำให้ชายหนุ่มหัวเราะ ” แค่นั้นพอเหรอ ตอบห้าคนนั้นที่เจ้าเอาชีวิตพวกเขาไปทิ้งดีกว่ามั้ย ”

แต่ความอดทนของเขาเองก็มีจำกัด ซาร์คพุ่งเข้าคว้าคอเสื้อของชายหนุ่มไว้เต็มมือก่อนอีกฝ่ายจะทันพูดจบด้วยซ้ำ ” ข้ารู้แล้วน่าว่าพวกเราตายไปเท่าไหร่ เจ้าจะย้ำทำไมนักหนา คีธ!! ”

” เพราะเจ้าทำหูทวนลมน่ะสิ!! ”

เสียงตะคอกนั้นมากพอแล้วจะทำให้เขาต้องปล่อยมือ คนทั้งหมดได้ยินการถกเถียงของพวกเขากันถ้วนทั่ว แต่ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไร ไม่กล้ากระทั่งแสดงว่าตนเองสนใจ ไม่มีใครอยากขวางกลางลำขณะที่คนทั้งสองคนนี้ห้ำหั่นกันโดยเฉพาะเมื่อคนที่อารมณ์ไม่ดีที่สุดในตอนนี้คือคนที่น่าจะใจเย็นที่สุดอย่างคีธ แต่ถึงพวกเขาพยายามเข้าไปขวางก็คงไม่มีใครฟัง ตอนนี้ทั้งสองเอาแต่มองหน้ากันนิ่งเหมือนจะฆ่ากันนตรงนั้น เป็นเด็กหนุ่มที่พ่ายแพ้ไปเสียก่อน ” ข้ารู้ว่าข้าพลาดไปแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง ”

” จะให้ข้าพอใจอะไร ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะหันหลังเข้ามาในเรือนเปิดทางให้ซาร์คตามเข้ามาแม้บรรยากาศโดยรอบจะน่ากลัวเสียจนเด็กหนุ่มสาบานได้ว่าอาจถึงตายที่ดื้อดึงตามเข้าไปเช่นนั้น เรื่องนี้มีคนผิดเพียงคนเดียวและเขาเคยเห็นมาแล้วว่าคีธจัดการกับคนผิดยังไง เขาได้แต่หุบปากเงียบขณะที่คีธกล่าวต่อไป ” เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะไปเผชิญกับอะไร เหยี่ยวป่าเป็นโจรไม่ใช่ทหารรับจ้าง ดีแค่ไหนที่เจ้าไม่ตายไปเสียตั้งแต่ที่หน้าประตู ”

” ก็เพราะข้ารู้ว่าเราผ่านไปได้สบายๆต่างหาก นี่มันโอกาสครั้งเดียวนะคีธ ครั้งเดียว เจ้าไม่ได้จดหมายเชิญเข้าปราสาทบ่อยครั้งพอที่จะใจเย็นอยู่ได้หรอก ”

” แล้วไงล่ะ ” สายตาเหยียดหยามมองมาทางเขาในทันที ” เจ้าฆ่าราชินีไม่ได้ เจ้าทำให้ทหารไล่ตามพวกเรามา ที่สำคัญคือเจ้ากำลังทำให้อาวดริคตกที่นั่งลำบากเพราะบัตรเชิญที่เขาให้เจ้า!! ”

” ถ้าเจ้านั่นไม่เข้ามาช่วยข้ามันก็คงไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นหรอก!! ”

มันเป็นการสวนฝีปากกันด้วยอารมณ์ แต่ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที ” เขาช่วยเจ้าอย่างนั้นหรือ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ”

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ในทันที ” ที่ปราสาท ”

ได้ยินแค่นั้นคีธก็ถอนใจอย่างหัวเสียในทันที สีหน้าของเขาเหมือนคนที่อยากเอาหัวกระแทกผนังให้มันแตกเสียให้รู้แล้วรู้รอด ” เจ้าว่าอะไรนะ!?! ”

” เขาอยู่ที่ปราสาท ข้าต้องรีบหนีออกมาเพราะกองทหารกำลังมา ข้ากลัวว่าถ้าพาเขามาด้วยพวกนั้นจะคิดว่าเขาอยู่เบื้องหลัง ”

แม้เสียงตอบตอนหลังจะแผ่วเบาเพียงไหนก็ไม่ต่างอะไรจากเสียงตะโกนสำหรับคีธ ยากจะบอกว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรระหว่างความผิดหวัง ความโกรธ และความห่วงกังวลร้อนใจ ถึงตอนนี้เขาเอาหัวโขกผนังเข้าไปครั้งหนึ่งจริงๆเพื่อหยุดตัวเองให้ได้ ” เจ้ามันบ้าแท้ๆซาร์ค ” เขาสบถ ” บัตรเชิญก็เขียนด้วยลายมือของเขา แถมเขายังเข้าไปช่วยเจ้า ถึงมันจะไม่ใช่หลักฐานตรงๆว่าแผนการณ์นี้เป็นของเขา แต่เจ้าคิดหรือว่าพวกนั้นจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ถึงจะฆ่าเจ้าชายด้วยตนเองไม่ได้แต่ก็ส่งเขาเข้าตะแลงแกงข้อหากบฎได้อยู่ดี ”

ดวงตาที่เบิกกว้างและสีหน้าที่ตื่นตระหนกบอกชัดว่าเด็กหนุ่มตกใจเพียงใด เขาไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ตอนที่หนีออกมาก็นึกเพียงสลัดการติดตามให้ได้ไม่ทันนึกเลยด้วยซ้ำว่าเขาลืมทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ” ผ่าสิ ” ผู้เป็นหัวหน้าสบถ เขาพลาด พลาดหนักหนามาก ป่านนี้ทหารคงรักษาการณ์ที่นั่นไว้แข็งขัน ถึงคิดจะย้อนไปก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว

แล้วป่านนี้อาวดริคจะเป็นยังไงกัน

ความครุ่นคิดของซาร์คปรากฏชัดเสียจนคีธก็เห็นได้ ในชั่วเวลาที่พวกเขาสบตากันนั้นเด็กหนุ่มเหมือนจะเห็นคีธที่เขารู้จักยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง ในสายตาของชายหนุ่มคือการคาดคำนวณอันเยือกเย็นที่ทำให้เขาเป็นรองหัวหน้าที่ไม่อาจหาใครแทนสำหรับเหยี่ยวป่า ” ท่านพร้อมจะฟังข้าหรือยัง ” ชายหนุ่มถาม

***
End of Book 1

TBC in Book 2